Custom Search

Jun 16, 2025

สรุปเนื้อหา เศรษฐศาสตร์พื้นฐาน ภายใน 4 นาทีอ่าน

     Loy Chunpongtong


สรุปเนื้อหา #เศรษฐศาสตร์พื้นฐาน ภายใน 4 นาทีอ่าน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเรียน ในแบบง่ายๆครับ

 1. Classical Economics (เศรษฐศาสตร์คลาสสิก)  

- แนวคิดหลัก: เศรษฐกิจเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อรัฐบาลไม่เข้าไปยุ่ง (Laissez-faire)  

- Adam Smith เสนอ "มือที่มองไม่เห็น" (Invisible Hand): 

- การแบ่งงานกันทำ ทำในส่วนที่ตนเองถนัด

นำสินค้าและบริการมาแลกเปลี่ยนกัน ทำให้สังคมมีผลผลิตรวมสูงขึ้น

คนทำตามผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ผลลัพธ์รวมคือ

ความเจริญของสังคม (เช่น คนขายขนมปังอยากได้เงิน

แต่ก็ทำให้คนอื่นมีอาหารกินไปด้วย)  

- เชื่อว่า ราคา ค่าแรง และตลาดจะปรับตัวเอง โดยธรรมชาติ

(ถ้าขนมปังแพง คนจะมาขายแข่งจนราคาลง)  

- David Ricardo เสนอ "ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ" (Comparative Advantage): 

แต่ละประเทศควรผลิตสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดแล้วค้าขายแลกเปลี่ยนกัน 

(แม้จะทำสิ่งอื่นได้ดีกว่าเล็กน้อยก็ตาม)

ไม่ควรตั้งอากรต่อกัน

 2. Marxian Economics (เศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์)  

- Karl Marx มองระบบทุนนิยมเป็นสนามรบ แทนที่จะเป็นการ  

เพิ่มประสิทธิภาพ

- ทฤษฎีมูลค่าจากแรงงาน (Labor Theory of Value): 

มูลค่าสินค้ามาจากแรงงาน

แต่คนงานได้ค่าแรงน้อยกว่ามูลค่าที่สร้าง →

เกิด "ส่วนเกินค่าแรง" (Surplus Value) ที่นายทุนกอบโกย  

- Marx ทำนายว่า ทุนนิยมจะล่มสลายเพราะความขัดแย้งภายใน 

(ถูกกดขี่จนลุกฮือ) และเปลี่ยนเป็นสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์  

- ได้พิสูจน์กว่า 50ปี แล้วว่าทฤษฎีนี้ ไม่ถูกต้อง 

ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ ไม่มีความจูงใจปรับปรุงการทำงาน 

เพราะไม่มีใครเสียสละได้ 100% ยังมีความเห็นแก่ตัวบ้าง

 3. Game Theory (ทฤษฎีเกม)  

- ศึกษาการตัดสินใจเมื่อผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนอื่นทำ  

- ตัวอย่างดัง: ปัญหานักโทษ (Prisoner's Dilemma)  

  - นักโทษ 2 คนเลือกว่าจะ "ร่วมมือ" หรือ "ทรยศ"  

  - แม้การทรยศจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลสำหรับแต่ละคน 

แต่ผลลัพธ์รวมแย่กว่าหากทั้งคู่ร่วมมือ  

- Nash Equilibrium: จุดที่ไม่มีใครได้ประโยชน์

จากการเปลี่ยนกลยุทธ์คนเดียว (เช่น การขับรถชิดซ้ายในไทย)  

- ใช้วิเคราะห์หลายเรื่อง ตั้งแต่สงครามราคา 

กำหนดนโยบายบริหารประเทศ  ไปจนถึงการต่อรองระหว่างประเทศ  

 4. Neoclassical Economics (เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก)  

- เน้น การตัดสินใจของปัจเจกบุคคล แทนการมองเป็นชนชั้น  

- แนวคิด  Marginalism (อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม) ใน 

Micro Economics (เศรษฐศาสตร์จุลภาค):

มูลค่าสินค้าขึ้นกับความพึงพอใจส่วนเพิ่ม (เช่น

เค้กชิ้นแรกอร่อยกว่าชิ้นที่ 4)  

- เชื่อว่า ตลาดจะปรับสู่ดุลยภาพ (Equilibrium) 

ผ่านอุปสงค์-อุปทาน  

- สมมติว่าคนและธุรกิจเป็น "ผู้ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล" 

(Rational Actors)  ซึ่งเป็นความจริงในภาพรวม

ไม่เป็นความจริงกับทุกคน

 5. Keynesian Economics (เคนส์)  

- John Maynard Keynes เจ้าของแนวคิด

"รัฐบาลต้องแทรกแซงเศรษฐกิจ" ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ  

- ปัญหาหลัก: ในภาวะถดถอย คนเก็บออมมากขึ้น → 

การใช้จ่ายลด → เศรษฐกิจแย่ลง (Paradox of Thrift)  

- ทางแก้: พิมพ์แบงก์เพิ่ม (กู้ธนาคารกลาง)

นำเงินใหม่เข้าสู่ระบบ  ยอมให้เงินเฟ้อ (ไม่ใช่ออกพันธบัตร

ไปดึงเงินในระบบ)

นำไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุน (เช่น สร้างถนน จ้างงาน) 

เพื่อสร้าง Multiplier Effect (เงิน 1 บาทที่รัฐใช้

เกิดผลลัพธ์มากกว่า 1 บาทในระบบ) ไม่ใช่นำไปแจกฟรี

- เป็นจุดเริ่มต้นของ Macro Economics (เศรษฐศาสตร์มหภาค) 

- ให้นิยามของสมการรายได้ประชาชาติ และเป็นที่มาของฟังก์ชัน 

ดุลอุปสงค์รวม (Investment = Saving function)

 6. Supply-Side Economics (เศรษฐศาสตร์ด้านอุปทาน)  

- เชื่อว่า การลดภาษีและกฎระเบียบ จะกระตุ้นการผลิต →

เศรษฐกิจโต → รายได้รัฐเพิ่มแม้อัตราภาษี/อากรต่ำ

(Laffer Curve)  

- ถูกนำมาใช้ในยุค Reagan (สหรัฐฯ ช่วง 1980s) 

แต่ถูกวิจารณ์ว่าเพิ่มความเหลื่อมล้ำและขาดดุลงบปนะมาณของรัฐ

 7. Monetarism (สำนักการเงินนิยม)  

- Milton Friedman กล่าวว่า เงินเฟ้อเกิดจากรัฐพิมพ์เงินมากเกิน  

- แก้ปัญหาโดย ควบคุมปริมาณเงินให้เติบโตอย่างคงที่ 

แทนการแทรกแซงนโยบายการคลัง  

- เชื่อว่า "ตลาดแรงงานมีอัตราการว่างงานตามธรรมชาติ"

(Natural Rate of Unemployment)  

- นี่คือที่มา ของแบงก์ชาติไทย ที่หัวแข็ง 

เชื่อตามสิ่งที่เกิดกับ ประเทศใหญ่อย่าง USA

 8. Development Economics (เศรษฐศาสตร์การพัฒนา)  

- ศึกษาว่าทำไมบางประเทศรวย บางประเทศจน  

- กับดักความยากจน (Poverty Trap): 

ความจนทำให้คนไม่สามารถลงทุนในอนาคต 

(เช่น ไม่มีเงินส่งลูกเรียน) → ยากที่จะหลุดพ้น  

- เน้นความสำคัญของ สถาบันที่ดี 

(เช่น กฎหมาย Strong, คอร์รัปชันต่ำ)  

 9. Austrian School (สำนักออสเตรียน)  

- เชื่อว่า รัฐไม่ควรแทรกแซงตลาด  

- สาเหตุวัฏจักรเศรษฐกิจ: ธนาคารกลางกำหนดดอกเบี้ยต่ำเกิน

→ เกิดฟองสบู่ → แตกแล้วเกิด recession  

- Friedrich Hayek กล่าวว่า 

"ราคาคือสัญญาณที่ส่งข้อมูลในตลาด"  

 10. Behavioral Economics (เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม)  

- คนไม่ได้มีเหตุผลสมบูรณ์แบบ (Rational) 

แต่ถูกกำหนดโดย อคติและอารมณ์  

- ตัวอย่าง:  

  - Loss Aversion: กลัวการสูญเสียมากกว่าชอบกำไร  

  - Framing Effect: การนำเสนอข้อมูลเปลี่ยนการตัดสินใจ 

(เช่น "เนื้อ 90% ไม่มีไขมัน" vs "มีไขมัน 10%")  

 11. New Institutional Economics 

(เศรษฐศาสตร์สถาบันใหม่)  

- เน้น บทบาทของสถาบัน (เช่น กฎหมาย บริษัท) ในการลด

"ต้นทุนการทำธุรกรรม" (Transaction Costs)  

- อธิบายว่าทำไมบางประเทศพัฒนาเพราะมี "สถาบันที่ดี"

(เช่น ระบบศาลที่โปร่งใส)  

 12. Public Choice Theory (ทฤษฎีการเลือกสาธารณะ)  

- วิเคราะห์ การเมืองด้วยหลักเศรษฐศาสตร์  

- นักการเมืองและข้าราชการก็แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

(เช่น อยากได้เสียงหรืองบประมาณ)  

- ปัญหา: นโยบายมักเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มเล็ก

(เช่น ส.ส. สนับสนุนโครงการในเขตตัวเองแม้ไม่ดีต่อประเทศ)  

 สรุปให้คนที่มีเวลาอ่านแค่ 4 บรรทัด

- ตลาดเสรี: Classical, Neoclassical, Austrian →

เชื่อว่า "รัฐอย่าเข้ามายุ่ง จะดีสุด  อย่าพิมพ์แบงก์

ไปลงทุน จ้างงาน"  

- รัฐแทรกแซง: Keynesian, Development →

"รัฐต้องกู้เงิน เพื่อส่งเสริมการลงทุน จ้างงาน ในปีที่เศรษฐกิจแย่"  

- พฤติกรรมคน: Behavioral →

"คนไม่ได้คิดอย่างมีเหตุผลเสมอไป"  

- การเมือง: Public Choice → "นักการเมืองก็มองแต่เสียงตัวเอง"  

ขอเตือนว่าทฤษฎีที่ได้ Nobel Prize ไม่ได้เข้าใจกันง่าย ๆ.

และถ้าไม่เก่งจริง อย่าด้อยค่าทฤษฎีเหล่านี้

แต่ละสำนักมีจุดอ่อน จุดแข็ง ขึ้นอยู่กับบริบทที่นำไปใช้

เหมือนเลือกเครื่องมือ ถ้าแผ่นไม้ เกินมาเล็กน้อยควรใช้ตะไบ

ถ้าเกินมาเยอะต้องใช้เลื่อย อันนี้ขึ้นกับสติปัญญา ประสบการณ์

และโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นครับ

สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ผมเชียร์

ให้ทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติร่วมมือกันแทรกแซง

โดยใช้เครื่องมือทั้งการเงิน และการคลัง ในแบบ Keynesian

ครับ นำน้ำใหม่มาเติมในบ่อ คือแบงก์ชาติ ต้องพิมพ์แบงก์เพิ่ม

เพื่อให้รัฐบาลกู้ นำไปลงทุน จ้างงาน อย่าห่วงแต่เงินเฟ้อ

ส่วนรัฐบาลก็ห้ามนำเงินในระบบมาแจก

เพราะมันคือน้ำในบ่อเดียวกัน จะทำให้การกู้ลงทุนของเอกชน

ยากขึ้น

ลอย ชุนพงษ์ทอง 16 มิ.ย. 2025


June 15, 2025



หากวันนี้เราจากโลกนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?




June 14, 2025