“จิตสุดท้ายก่อนตาย”
สำคัญก็จริง แต่
“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย
“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน
เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”
ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต
20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด ถ้าเราเห็นโลกตามความ
เป็นจริงด้วยวิปัสนาญาณ จะรู้ว่า 31 ภพภูมิ อยู่ในจิต
ของเราหมดเลย ไม่ได้อยู่ภายนอกที่ใหนอยู่ในใจของเรา
จิตมีความโลภ จิตก็เป็นเปรตในร่างมนุษย์ ตายตอนนั้น
ก็ไปเสวยความเป็นเปรตเลย จิตมีความโกรธ ก็เหมือน
ตกนรกทั้งเป็น ลองสังเกตเวลาเราโกรธก็เหมือนถูกไฟ
เผาในใจของเรา ตายตอนนั้น จิตออกจากร่าง
ก็ถูกความร้อนแผดเผาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ไม่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ เพระไม่มีกายสังขารแล้ว
มีความสุขเข้าถึงสภาวะธรรมตามลำดับขั้นชั้นต่างๆ
ก็เป็นเทวดา เป็นพรหม ในร่างมนุษย์ ตายตอนนั้น
ก็เสวยวิหารธรรมความสุข เป็นเทวดา พรหม
ตามลำดับขั้นชั้นต่างๆ ตาม กำลังของจิตที่ได้ฝึกมา
( เกิดขึ้นได้จากการปฎิบัติธรรม เจริญสติ )
ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต)
การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา
ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ
ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้น
ก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป
และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างใน
ซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้
สรุปบรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลัง
ความตาย 20 นาที
จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก
การทะเลาะเบาะแว้ง
หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ
เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว
งดเว้นจากการเบียดเบียนไม่ทำให้ตนเอง และ ผู้อื่นเดือดร้อน บันทึกแต่สิ่งที่ดี สวดมนต์ ปฎิบัติธรรม
ฝึกฝนพัฒนากำลังของสติ ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย
( ผู้ที่ปฎิบัติดีแล้วจะไม่กลัวตาย ก่อนตายจะทรงสภาวะธรรม)
ที่ไม่กลัวเพระรู้ว่า ความตายเป็นการเคลื่อนจากภพนึง
ไปสู่ภพนึงเท่านั้น เมื่อสร้างเหตุที่ดีไว้เต็มที่แล้วก็ไม่กลัว
เตรียมตัวไว้จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา
จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้
แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม
เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า
ผู้ใดเผยแผ่ ผู้นั้นได้สะสมบุญ บารมี