มติชน
วันที่: 6 พ.ย. 59 เวลา: 13:30 น.
มีคนขี้สงสัยบางคนเปรยว่า อ่านพุทธวจนะบางตอนแล้ว ฟังดูคล้ายพระพุทธองค์ทรงยกย่องพระองค์เอง ผมถามว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่ทราบ แต่ทำไมพระพุทธวจนะจึงมักตรัสว่าเราเป็นคนเลิศในโลก เราหาคนเปรียบปานมิได้ ทำนองนี้
ท่านผู้ขี้สงสัยนั้นกล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่ตรัสตอบอุปกา
ชีวก อุปกาชีวกเพียงถามว่า ท่านบวชอุทิศใคร พระพุทธเจ้ากลับตอบในทำนองยกย่องพระองค์เองเสียยืดยาวว่า
“เราเอาชนะทุกอย่าง ตรัสรู้ทุกอย่าง ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวง หลุดพ้นเพราะทำลายตัณหา เราตรัสรู้เอง แล้วจะพึงอ้างใครว่าเป็นครูของเราเล่า คนเช่นเราไม่มีใครสอน คนเช่นเราไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก เราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ดับเย็นแล้ว บรรลุนิพพานแล้ว”
ผมตอบท่านผู้ขี้สงสัยว่า ไม่เห็นเป็นการยกย่องตนเองเลย ผมกลับมองไปว่าพระพุทธองค์ตรัสความจริง ความจริงมันเป็นเช่นนั้น ถ้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นจริงสิ จึงจะถือว่าทรงยกย่องพระองค์เอง ทุกอย่างที่ตรัสเป็นความจริงหมด เช่น
พระพุทธองค์ไม่มีครูสอน พระพุทธองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง อาจสงสัยว่า อ้าว! แล้วครู (วิศวามิตรและท่านอื่น) ผู้ประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการให้ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อาฬารดาบส อุทกดาบสผู้ประสาทวิชาโยคะให้จนบรรลุสมาบัติขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะเล่า มิใช่ครูของพระองค์หรือ ทำไมตรัสว่าไม่มีครู
ใช่ครับ ท่านเหล่านั้นเป็นครูของพระองค์ วิศวามิตรเป็นต้นเป็นครูทางศิลปวิทยาการ ดาบสทั้งสองเป็นครูทางฌานสมาบัติ แต่ครูในทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณไม่มี
ที่ว่าพระองค์ไม่มีใครสอน คือไม่มีใครสอนทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณให้ ครูในทางตรัสรู้ไม่มีครับ พระองค์ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง
นี่ก็เป็นความจริงที่ว่า คนเช่นพระพุทธองค์ไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก หมายความว่า มนุษย์ทั้งปวงในมนุษย์โลกและเทวดาทั้งปวงในสวรรค์ไม่มีใครเท่าพระองค์ เพราะมนุษย์และเทวดาเหล่านั้นยังตกอยู่ในอำนาจกิเลสอยู่ ไม่พ้นวงจรการเวียนว่ายตายเกิด จะเทียบเท่าพระสัมมาสัมพุทธะได้อย่างไร
นี่ก็เป็นความจริงอีกนั่นแหละ การตรัสความจริงไม่เห็นจะเป็นการยกตนเองเลย ที่ตรัสว่า ในโลกนี้ทรงจำกัดกาลสมัยด้วยคือ
ในยุคนี้ไม่มีสัมมาสัมพุทธะผู้ประเสริฐเท่าพระองค์ ประเสริฐเท่าพระองค์ก็มีแต่พระสัมมาสัมพุทธะด้วยกัน ซึ่งก็ต้องอยู่ในยุคอื่น พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งปวงและพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน (คือพระโคตมพุทธเจ้า) เสมอภาคกันในการตรัสรู้ ไม่มีพระองค์ใดยิ่งหย่อนกว่าพระองค์ใด
นี่ก็เป็นความจริงอีก พระสารีบุตร อัครสาวกก็เคยประกาศด้วยความมั่นใจว่าในปัจจุบันไม่มีใครรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรประกาศด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ไม่ได้คิดเอาเองส่งเดช หรือเพื่อเอาพระทัยพระพุทธเจ้า แต่เป็นการพูดความจริง โดยอาศัย แนวแห่งธรรมที่ท่านรู้ (ธมฺมนฺวโย วิทิโต) ดังที่ท่านกราบทูลต่อพระพักตร์พระพุทธองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณหยั่งรู้พระทัยของพระสัมมาสัมพุทธะ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ข้าพระองค์รู้แนวธรรม เปรียบเสมือนเมืองใหญ่มีประตูสำหรับเข้า-ออกทางประตูนี้ สัตว์เล็กก็เข้า-ออกทางประตูนี้ฉันใด แนวแห่งธรรมก็ฉันนั้น ข้าพระองค์รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงละนิวรณ์ได้ ทรงมีพระทัยตั้งมั่นในสติปัฏฐาน 4 ทรงเจริญโพชฌงค์ 7 ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตและในปัจจุบันก็อาศัยแนวทางนี้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเช่นกัน”
คำพูดของพระสารีบุตรหมายความว่า ไม่มีใครรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าปัจจุบัน ถึงท่าน (พระสารีบุตร) ไม่มีญาณหยั่งรู้ใจของพระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคต ท่านก็ยืนยันได้ว่าพระพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ไม่มีองค์ใดรู้เกินกว่าพระพุทธองค์ปัจจุบัน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงรู้เท่าๆ กัน ไม่มีองค์ไหนรู้เกินกว่าองค์ไหน พระสารีบุตรท่านยืนยันข้อสรุปนี้ มิได้เดาเอา หากแต่อนุมานเอาตามแนวแห่งการตรัสรู้ธรรม อนุมานอย่างไร ก็เหมือนดูเมืองทั้งเมือง ไม่เห็นมีรูมีช่องไหนเลย ยกเว้นประตูใหญ่ประตูเดียว ก็อนุมานเอาว่า
ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ย่อมเข้า-ออกผ่านประตูนี้ประตูเดียว นี่คือวิธีอนุมาน
อนุมานคืออาศัยหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแล้วสาวไปหาข้อสรุปหรือคำตอบ
พระสารีบุตรท่านยกประสบการณ์ที่ตนเองประจักษ์ว่า การละนิวรณ์ได้ การบำเพ็ญสติปัฏฐานและโพชฌงค์ทำให้บรรลุธรรมได้ เพราะตัวท่านก็บรรลุพระอรหัตผลผ่านทางนี้แล้ว ก็อนุมานต่อไปว่า พระโคตมพุทธองค์ปัจจุบันก็บรรลุผ่านทางนี้ พระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคตก็ผ่านทางนี้ ไม่มีพระองค์ใดบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณผ่านทางอื่น
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเกินกว่าพระพุทธเจ้าในทางตรัสรู้ พระพุทธเจ้าอื่นๆ ก็ไม่เกิน เพราะตรัสรู้เรื่องเดียวกัน และตรัสรู้เท่าๆ กัน แต่สำหรับมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่ว่าโลกไหนยุคไหน หาผู้เสมอเหมือนพระสัมมาสัมพุทธะมิได้แล