Custom Search

Nov 17, 2010

ไทยรัฐ

หลวงพ่อคูณ เตือนสติขับรถไม่ประมาท-มีสติ
หากพลาดจะมีแต่เสีย พร้อมแนะลูกหลานรักษาศีลห้า รับปีใหม่ไทย

ที่วันพายับ เขตเทศบาลนครนครราชสีมา อ.เมืองฯ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)
หรือ
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์ชื่อดัง
เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด
เทศนาธรรมให้โอวาทกับพี่น้องประชาชน
ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในโอกาสเทศกาล ปีใหม่ไทย
และวันครอบครัว เทศกาลสงกรานต์ ว่า
การขับรถขับรา การเดินทางกลับภูมิลำเนา
อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ ลูกหลานทั้งหลายอย่าได้ประมาท
ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
เมื่อประมาณพลาดพลั้งก็จะเสียหาย



" ในโอกาสปีใหม่ไทยก็ขอให้ลูกหลานพากันรักษาศีลห้า
รักษาศีล รักษาธรรมกันทุกๆตัวตนเน้อลูกหลานเอ๊ย
ปีหนึ่งปีหนึ่งก็ให้ศีลให้พรจนเขารู้กันจนพอแล้ว
รู้กันจนหมดแล้ว การขับรถก็เหมือนกัน
กูจะไปเที่ยวสอนจระเข้ว่ายน้ำไม่ได้"
หลวงพ่อคูณฯ กล่าว






(15พ.ย.2553)“ในหลวง-ราชินีพระราชทานแจกันดอกไม้ เยี่ยมอาการอาพาธ “หลวงพ่อคูณ”
ที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ยังความปลาบปลื้มปีติแก่หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง
พร้อมขอให้ 2 พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
ขณะอาการอาพาธล่าสุดดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีไข้
สภาพร่างกายทั่วไปเกือบเป็นปกติแล้ว

วานนี้เมื่อเวลา 17.00 น.ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8
อาคาร เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา
นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
ได้อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เข้าเยี่ยมอาการอาพาธ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ)
เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
ยังความปลาบปลื้ม ปิติแก่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อย่างยิ่ง


หลวง พ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้รับพระราชทานดอกไม้จากพระเจ้าแผ่นดิน และพระราชินี
ขอให้ทั้ง 2 พระองค์มีอายุมั่นขวัญยืน ท่านเป็นผู้ที่มีบุญมาก
และขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
จากนั้นหลวงพ่อคูณ ได้ตั้งจิตอธิษฐานและเป่ามนต์ 3 ครั้ง


ด้าน นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า
ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมารู้สึกซาบซึ้งและ
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ที่ทรงพระราชทานแจกันดอกไม้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาอัญเชิญเข้า
เยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
ยังความปลื้มปีติยินดีให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมาเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหลวงพ่อคูณ มีกำลังใจมากขึ้น
และดีใจเป็นล้นพ้น พร้อมได้กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้ง 2 พระองค์



นาย ระพี กล่าวต่อว่า ส่วนอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ ล่าสุด
จากการสอบถามทีมแพทย์ที่รักษาหลวงพ่อ ทราบว่า
อาการของหลวงพ่อดีขึ้นตามลำดับ
วันนี้ไม่มีไข้ สภาพร่างกายทั่วไปเกือบเป็นปกติแล้ว

และแพทย์รู้ตำแหน่งการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว
ขณะนี้กำลังให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ
ซึ่งจะเฝ้าดูแลอาการของหลวงพ่อคูณอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกสักระยะ
ลูกศิษย์ไม่ต้องเป็นห่วง
ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้เฝ้าดูแลท่านเป็นอย่างดี

























Nov 16, 2010

คำสอนของอาจารย์สัญญา แด่ผู้พิพากษาตุลาการทั้งหลาย

http://www.coj.go.th/museum/SpPerson/sanya.html

มติชน
สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมื่อเอ่ยชื่อ "ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์"
ไม่มีบุคคลใดในประเทศไทยโดยเฉพาะนักกฎหมายจะไม่รู้จัก
ท่าน อาจารย์เคยดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา
อันเป็นตำแหน่งสูงสุดฝ่ายตุลาการ

เคยเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นตำแหน่งสูงสุดทางฝ่ายบริหาร

ทั้งยังเคยเป็นรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ
อันเป็นตำแหน่งสูงทางฝ่ายนิติบัญญัติ

นอก จากนั้นในทางวิชาการท่านเคยเป็น
อาจารย์สอนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งยังเคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์
และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


และ สิ่งสูงสุดในชีวิตของท่านคือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงไว้วางพระราชหฤทัยโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี
แล้วต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี
และปฏิบัติหน้าที่แทบเบื้องพระยุคลบาทในตำแหน่งนี้ตราบจนถึงแก่อสัญกรรม

อาจารย์ สัญญาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตุลาการ
บิดาของท่านเป็นเนติบัณฑิต (สยาม) รุ่นแรก

และรับราชการเป็นผู้พิพากษา
เมื่ออาจารย์เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา

ท่านเป็นตุลาการที่เป็นแบบอย่างที่ดีของตุลาการทั้งหลาย
ทั้งในด้านความรู้ความสามารถและแนวคิด


ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นเลิศ
ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรง อิสระ ปราศจากอคติใดๆ
ตามแนวปรัชญาที่ว่า "จงให้ความยุติธรรม แม้ฟ้าจะถล่มก็ตามที"

อาจารย์สัญญาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการอบรมผู้ ช่วยผู้พิพากษา
ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาได้จึงต้องเป็นผู้ช่วยพิพากษา
ผ่านการอบรมเสียก่อนจึงจะโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้พิพากษา เมื่อ 40 ปีมาแล้ว

ผู้เขียนผ่านการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาได้
จึงต้องเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาก่อน คือ ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่น 13
ผู้เขียนได้พบอาจารย์สัญญา
เมื่อท่านมาให้การอบรมเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้พิพากษา

ผู้เขียนจดจำคำสอนของท่านและนำมาเป็นหลักปฏิบัติตั้งแต่
เป็นผู้พิพากษามาจน ถึงได้ปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช.
คำสอนที่อยู่ในหัวใจของผู้เขียนก็คือ

"ผู้พิพากษาต้องเป็น ผู้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมแต่ความบริสุทธิ์ยุติธรรมนั้น
ไม่ใช่เราคิดว่าตัวเรา (ผู้พิพากษา) มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม
แต่ต้องให้บุคคลทั่วไปเขาเชื่อว่าเราบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง"

ความ ระแวงสงสัยในเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม
หากเกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาตุลาการแล้ว
ใช่จะทำให้สังคมนั้นปั่นป่วนหวั่นไหวเท่านั้น
แม้แต่ฝ่ายผู้พิพากษาตุลาการเองก็จะเกิดความลำบากในการทำหน้าที่ด้วย

เพราะ การทำหน้าที่ของผู้พิพากษาตุลาการต้องขึ้นอยู่กับความศรัทธาของบุคคล
หากเกิดความระแวงในความบริสุทธิ์ยุติธรรมเสียแล้ว
จะวินิจฉัยสั่งการอะไรออกไป ก็ไม่เกิดความศรัทธาเชื่อถือ
การทำงานของผู้พิพากษาตุลาการจะเป็นไป
โดยลำบากเป็นอย่างยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าเกิด "วิกฤตศรัทธา"

โดยขออ้างอิงข้อเท็จจริงที่ เกิดขึ้นเมื่อผู้เขียนดำรงตำแหน่งผู้พิพากษา
หัวหน้าศาลจังหวัดศาลหนึ่ง มีคหบดีของจังหวัดนั้นมาเชิญผู้เขียน
และผู้พิพากษาในศาลนั้นไปร่วมงานแซยิด
ของบิดาของเขาซึ่งก็จัดขึ้นทุกปี
และในปีก่อนนั้นผู้เขียนและผู้พิพากษาก็เคยไปร่วมงาน


แต่ในปีดัง กล่าวมีเหตุการณ์ไม่ปกติ
เพราะบุตรชายของคหบดีผู้นั้นเป็นจำเลยอยู่ที่ศาลในคดีฆ่าผู้อื่น
ผู้เขียนเป็นเจ้าของสำนวนคดีนี้ ระหว่างรอฟังคำพิพากษาก็ได้รับเชิญไปร่วมงาน
ผู้เขียนต้องปฏิเสธการไปร่วมงาน แต่ก็อธิบายให้ผู้เชิญทราบว่า
ถ้าผู้เขียนและผู้พิพากษาในศาลไปร่วมงานดังกล่าว
และแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีความบริสุทธิ์ใจเพียงใด
แต่คู่ความอีกฝ่ายตลอดจนบุคคลทั่วไป
เขาจะเชื่อหรือว่าเราบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง
หากเห็นว่าผู้ตัดสินคดีนี้ไปนั่งรับประทานอาหารอยู่กับฝ่ายจำเลย

คหบดี ผู้นั้นก็ดีเหลือเกิน
เพราะเข้าใจและไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย

คดีนั้นเป็นที่สนใจของประชาชนในจังหวัด ถึงกับมีผู้กล่าวกันว่า
"จะดูซิว่า คนรวยจะมีสิทธิติดคุกหรือไม่"

ขอเรียนว่าคดีดังกล่าวผู้เขียนและองค์คณะผู้พิพากษา
พิพากษาจำคุกบุตรชายของคหบดีที่มาเชิญผู้เขียน
เพราะพยานหลักฐานในสำนวนชัดเจน

อาจารย์สัญญามีคติยึดถือประจำใจว่า
"อัน งานของตุลาการนั้นอะไรจะมาสำคัญกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นไม่มี
ความรู้ความสามารถและความละเอียดรอบคอบนั้น
เป็นความสำคัญอย่างมากจริงอยู่แต่ความบริสุทธิ์ยุติธรรมจากจิตใจเป็นความ
สำคัญอย่างยิ่ง งานตุลาการเป็นงานอิสระใครจะมาบังคับความเห็นเราไม่ได้
ฉะนั้น งานตุลาการจึงเป็นงานต้องไว้ใจตัวเองว่า
เรามีความบริสุทธิ์ยุติธรรมโดยถ่องแท้และมั่นคง และคนเรา
เมื่อไว้ใจตัวของตัวเองได้แล้ว ก็ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ดั่งนี้เขาผู้นั้นแหละย่อมเป็นตุลาการที่สมบูรณ์"

เมื่ออาจารย์ สัญญา ได้รับเชิญเป็นวิทยากรอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา
ท่านเคยให้คติเตือนใจที่มีคุณค่ายิ่งแก่ผู้ช่วยพิพากษา
เพื่อยึดถือในการครองตนและประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม
ในการอบรมครั้งหนึ่ง อาจารย์แนะนำวิธีที่จะช่วยให้ผู้พิพากษาวินิจฉัย
ชี้ขาดคดีได้อย่างถูกต้อง เป็นธรรมว่า

"ต้องทำจิตให้เป็นกลาง หมายความว่า ทำจิตใจให้ว่าง
เวลาคิดเรื่องงานหรือนั่งบัลลังก์ จิตของเราต้องประภัสสร คือแจ่มใสสว่างจ้า
ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง... แต่บางทีก็มีมารมาผจญ
ผมเองก็เคยถูกผจญเหมือนกัน ถูกเข้าแล้วก็คิดว่าเป็นอย่างไรก็เป็นไป
ถึงจะต้องออกก็ออก เมื่อเราเห็นอย่างนี้ว่ายุติธรรรม
แม้จะกระทบกับการเมือง เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ถ้านึกได้อย่างนี้
แสดงว่าจิตว่าง การที่ผู้พิพากษามีจิตมั่นคงผ่องใส ปราศจากอคติ
และไม่รวนเรไปในทางหนึ่งทางใด จะทำให้ปฏิบัติหน้าที่อิสระ
ในการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างเป็นธรรมมากขึ้น"

นอก จากจะยึดมั่นในจริยธรรม เป็นแบบฉบับของผู้พิพากษาตุลาการ
ที่สมควรยึดถือและปฏิบัติตามแล้ว
ท่านยังเป็นปรมาจารย์วางหลักในการเรียบเรียงคำพิพากษา

เช่น ในการวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ อาจารย์สัญญาวางหลักไว้ว่า

"การ ที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นเจ้าพนักงานนั้น จะต้องพิจารณาโดยจำกัด
เพราะความเป็นเจ้าพนักงานนั้น มิใช่จะก่อให้เกิดหน้าที่ต้องรับผิด
เมื่อตนกระทำผิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นอีกด้วย
กล่าวคือ เมื่อบุคคลใดกระทำการบางอย่างต่อบุคคลซึ่งถือว่า
เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เช่น ขัดคำสั่งหรือขัดขวาง
แม้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด ถ้ากระทำต่อบุคคลที่มิใช่เจ้าพนักงาน
กฎหมายทางฝ่ายอาญายังบัญญัติเอาการกระทำนั้น
เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ต่างหากเป็นพิเศษด้วย
ซึ่งบุคคลธรรมดาสามัญจะอ้างเอาเช่นนั้นไม่ได้
ฉะนั้นการที่จะถือว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่นั้น
จึงต้องมีความสำคัญที่จะต้องพิจารณาดูว่าผู้นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็น
เจ้าพนักงานตามกฎหมายหรือมิใช่ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
ผู้ใดจะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
ผู้นั้นจะต้องได้รับการแต่งตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายว่า
ด้วยการแต่งตั้งข้า ราชการให้ดำรงตำแหน่งหน้าที่
หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีกฎหมายระบุไว้โดย
เฉพาะเจาะจงให้ถือเป็นเจ้าหน้าที่"

คำสอนของอาจารย์สัญญานี้ สำหรับผู้เขียน
นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาแล้ว
ยังเป็นหลักที่นำมาใช้เมื่อปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช.ด้วย

ผู้เขียนเห็นว่าผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายดียอดเยี่ยม
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้พิพากษาตุลาการที่ดีเสมอไป
หากไม่มีความเป็นอิสระ

อาจารย์สัญญากล่าวถึงความมีอิสระของคนเป็นผู้พิพากษาตุลาการว่า

"การที่ผู้พิพากษามีจิตมั่นคง ผ่องใส ปราศจากอคติ
และไม่รวนเรไปในทางหนึ่งทางใด จะทำให้ปฏิบัติหน้าที่อิสระ
ในการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างเป็นธรรมมากขึ้น
ถ้าเรามีจิตที่แข็งแกร่งอยู่ในบังคับบัญชาของเรา เป็นเหล็กกล้า
เป็นจิตของตุลาการแล้ว อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเลย
คนอื่นเขาจะเห็นหรือไม่เห็น ผู้บังคับบัญชาจะยกย่องหรือไม่ยกย่อง ก.ต.
ท่านจะให้ 2 ขั้นหรือไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ความยุติธรรมไม่มีเสื่อมเสีย
ติดตัวอยู่ตลอดไป อย่างน้อยที่สุดใจเรายังเบิกบานภาคภูมิใจ
ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรหรือผู้ใดทั้งสิ้น นี่ถือความเป็นอิสระ
ไม่ใช่อิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีเท่านั้น แต่อิสระในใจของตน
คุณลองคิดดูเป็นจริงได้ไหมหรือเพ้อฝัน ผมขอยืนยันว่าเป็นจริงได้
คุณต้องลองทำดูก่อนจึงจะเห็นจริง ถ้าจิตของคุณมั่นคงเป็นเหล็กกล้าเบิกบาน
ประภัสสร ผ่องใส ว่างและมั่นคง ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาเอง
ทั้งความดี ทั้งโชคลาภ มีความสุขในครอบครัว
และดูคนด้วยความเต็มหน้าเต็มตา ชีวิตทั้งชีวิตจะดีไปด้วย
บรรพตุลาการของเรามีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่ท่านทำได้อย่างนี้"

คำสอนของอาจารย์สัญญา
ที่ผู้เขียนเห็นว่าสุดยอดที่ผู้พิพากษาต้องจดจำอย่าได้

หลงลืมเป็นอันขาดก็คือ
"ศาลยุติธรรมจะอยู่ได้ด้วยการเคารพนับถือของคนทั้งหลาย

ปัจจุบันเขายังเคารพศาลอยู่ เมื่อครั้งผมเป็นรัฐบาลมีข้อกฎหมาย
ที่เขาถกเถียงกันใหญ่โต แต่ลงท้ายมีคนบอกว่า
เรื่องนี้ความจริงศาลฎีกาท่านตัดสินแล้วว่าเป็นอย่างไร
ข้อถกเถียงเงียบทันที หลายคนเขายังเคารพศาลอยู่
เพราะฉะนั้นพวกคุณจะต้องรักษาความดีอันนี้ไว้ให้ เขานับถือต่อไป
ถ้ามีเรื่องทุจริตเกิดขึ้นมาทีไร
พวกผู้พิพากษาที่เกษียณไปแล้วก็เสียอกเสียใจกันใหญ่
ไม่น่าเลยศาลจะเป็นอย่างนี้ ทำได้อย่างไร
ทำลายสถาบันป่นปี้หมด นี้แหละครับไม่ใช่ความรังเกียจจะแรง
เฉพาะเพื่อนคุณ ผู้บังคับบัญชา ครูบาอาจารย์ มันแรงไปทุกตุลาการแม้จะออกไปแล้ว"

เป็นที่น่าสังเกต ว่าคำสอนของอาจารย์สัญญา
จะกล่าวถึงตัวผู้พิพากษาตุลาการทั้งในด้านการปฏิบัติ การวางตัว
แนวความคิด และจิตวิญญาณของการเป็นผู้พิพากษาตุลาการ
หากพิจารณาคำสอนของอาจารย์ให้ดี
จะจับหลักได้ว่าเมื่อมีเหตุวิกฤตศรัทธาเกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาตุลาการ

ผู้พิพากษาตุลาการต้องตรวจสอบตัวเอง
ทั้งแนวความคิดและการปฏิบัติตัว
ว่ามีข้อบกพร่องอย่างไร จึงทำให้สังคมเสื่อมศรัทธา

เพราะการแก้ไขตัวเราเองนั้น
น่าจะทำได้ง่ายกว่าที่จะให้บุคคลอื่นเขาแก้ไขพฤติกรรมของเขา

ยกเว้นท่านจะแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตนถูกต้องครบถ้วน
ตามคำสอนของอาจารย์สัญญาแล้ว แต่ก็ยังมีคนกล่าวหาท่านอยู่อีก

หนังสือที่ใช้อ้างอิง: 100 ปี กระทรวงยุติธรรม

นิติศาสตร์เสวนาเรื่องคุณค่าบรรพตุลาการ

Nov 15, 2010

ชี้คิดบวกพาองค์กรฝ่าวิกฤติสู่ความสำเร็จ : ดร.บุญเกียรติ โชควัฒนา

นายห้างเทียม โชควัฒนา
http://www.mop-bkc.com/
http://www.ex-mba.edu/doctor/d1.html

ข้อมูลจาก: http://www.mis.nu.ac.th/sharing/bunya1.php

ณ ห้องเรียนหลักสูตรการบริหารเชิงกลยุทธ์

คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
วันนี้คึกคักยิ่ง เพราะ
CEO ดร. บุญเกียรติ โชควัฒนา

กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ICC International
เจ้าของแนวคิดบวก, คิดทีละเรื่อง ทำทีละหลายๆ เรื่อง,
ยิ่งแก้ปัญหายิ่งทำให้ฉลาด มาให้แง่คิด
ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการคิดการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์


ดร. บุญเกียรติไม่ได้มาท่านเดียว แต่ยกทีมจาก
บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด มาให้ความรู้แบบสุดคุ้ม!
นิสิตที่เข้าฟังการบรรยายรู้สึกเหมือนกำลังจะ workshop
หรือ เข้า Lab ก็สุดแล้วแต่จะเรียก
ในฐานะคนที่อยู่ในแวดดวงการศึกษาด้านการสื่อสาร
และสนใจเกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ก็ไม่พลาดงานนี้

และเห็นด้วยทันทีกับแนวคิดของคณบดี ผศ. ไพศาล อินทสิงห์
และประธานหลักสูตร ผศ. จันทร์ศรี ลีลาชินาเวศ
ว่าต้องสร้างพลัง สร้างศักยภาพนิสิต ด้วยการสร้าง Lab
เพื่อการฝึกคิด ฝึกกำหนดยุทธศาสตร์ของนิสิตระดับปริญญาโท-เอก

ด้านการบริหารจัดการที่เป็นจริง

ดร. บุญเกียรติ โชควัฒนา เริ่มต้นการบรรยายในหัวข้อ
หลักคิดและการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์อย่างผู้รอบรู้อย่างลึกซึ้งว่า ต้องคิดบวก!
โดยนำแนวคิดมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นการบรรยายว่า

“ในการบรรยายครั้งนี้ขอให้นิสิตตั้งจิตให้แน่วแน่ว่าจะได้รับ
ประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะเพียงไปใช้ในการสอบ
แต่เพื่อประโยชน์ที่กว้างขวางกว่านั้นคือประโยชน์ในการทำงาน และชีวิต
การคิดเช่นนี้จะทำให้มีพลังงาน
ทำให้รู้สึกว่ากำลังทำในสิ่งที่มีประโยชน์มาก ไม่รู้สึกเบื่อ หรือ เหน็ดเหนื่อย”

พลังของการคิดบวกจะทำให้มองข้างหน้า
เห็นประโยชน์ข้างหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน!

ดร. บุญเกียรติอธิบายว่า คนเราโดยทั่วไปไม่ค่อยได้ถามตัวเองว่า
เราเป็นคนคิดบวก หรือลบ วิธีง่ายๆคือถามความรู้สึกก่อนว่า
ปกติเราคิดอย่างไร เช่น เรามักกลัว,
รู้สึกเป็นห่วง, รู้สึกสงสัยว่าทำไม, รู้สึกว่าไม่เข้าใจ,
รู้สึกว่าไม่รู้, รู้สึกว่าคิดไม่ออก, รู้สึกว่างง
ความคิดแบบนี้เป็นความคิดลบ
ความคิดแบบนี้แน่นอนว่าอาจจะฝืนไม่ให้คิดไม่ได้

แต่เน้นว่าอย่าย้ำคิดลบบ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นคนคิดลบแบบถาวรไปเลย

แล้วคิดบวกเป็นแบบไหน ดร. บุญเกียรติอธิบายว่า
คือคนที่คิดช่วยคนอื่น คิดช่วยสังคมด้วย คือWin Win
ไม่ใช่คิดบวกแต่เรื่องของตัวเอง แบบนั้นเรียก Ego
และคงไม่ได้หมายถึงคิดบวกไปเรื่อยๆ แต่ต้องมีเหตุมีผล เช่น
ได้ยินเสียงผิดปกติในบ้านยามวิกาล
ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร แล้วนอนต่อไป แบบนี้ไม่ใช่คิดบวก

ดร. บุญเกียรติให้ความเห็นว่า จากประสบการณ์ในการบริหารพบว่า
ความคิดอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์ในการบริหารเชิงกลยุทธ์ คือ
การเดา ภาษาอังกฤษว่า guess คำนี้ไม่ได้มีความหมายในเชิงลบ
ในสังคมไทยอาจไม่ชอบคำๆนี้ แต่ในโลกของการทำงาน
มีการเดาเต็มไปหมด
เนื่องจากในการทำงานเราจริงๆไม่ได้มีข้อมูลที่รอบด้านพอ
การเดาในที่นี้หมายถึงการคิดที่มีระบบจากการตั้งคำถาม

และหาคำตอบให้กับ เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา
และจากการสังเกตที่ละเอียดอ่อน ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจได้

คนเรานั้นมีประสบการณ์สั่งสมมา หลายภพชาติ
ประสบการณ์นั้นไม่ได้หายไป
เราทุกคนนำประสบการณ์จากในอดีตชาติมาใช้ ซึ่งขอเรียกว่า
ปัญญาญาณ (Intuition) หมายถึงการที่สามารถรู้ได้โดยไม่มีข้อมูล
บางคนเรียนมาสูงขาด sense ขาดดุลยพินิจ ทำให้ตัดสินใจอะไรไม่ได้

ดร. บุญเกียรติอธิบายต่อไปว่า การคิดบวกมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ “จิตใต้สำนึก”
ซึ่งเป็นจิตของเราเอง ซึ่งมีพลังมากกว่า “จิตสำนึก”
จะลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ พลังจิต 100 เปอร์เซ็นต์
“จิตสำนึก”มีพลังเพียง 3-7 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
นอกนั้นเป็นพลังของ “จิตใต้สำนึก”
จิตใต้สำนึกมีพลังดังนี้
1. จิตใต้สำนึกรู้ในสิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกได้

2. จิตใต้สำนึกมีแรงเหนี่ยวนำ
3. จิตใต้สำนึกไม่หลับ
4. จิตใต้สำนึกหาคำตอบให้เราได้
5. จิตใต้สำนึกจะทำงานเมื่อจิตสำนึกไม่ทำงาน
6. จิตใต้สำนึกไม่รู้ผิดรู้ถูก

จิตใต้สำนึกเป็นพลังในการคิดบวกเพื่องานและชีวิตได้อย่าง ไร.....
คำถามนี้มุ่งเป้าเพื่อนำไปใช้ในการนำงานและนำชีวิตให้ไปสู่เป้าหมาย
ในสถานการณ์ที่ข้อมูลหลายๆอย่างไม่ได้ เลิศเลอเพอร์เฟ็ค
เผลอๆเข้าขั้นวิกฤติคือไม่มีอะไรสักอย่างในมือ!

มีคำตอบที่กระตุ้นแรงบันดาลใจให้คนอย่างเราๆ
ที่อยู่ในสังคมที่อาจจะยังไม่พร้อมทั้งด้านข้อมูล
ข่าวสาร ความรู้ แต่ต้องฝ่าวิกฤติ
ตั้งแต่เรื่องของการเมืองหลังการเลือกตั้ง
เศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง

ราคาสินค้ายุคราคาน้ำมันมหาโหด ฯลฯ ให้มีความหวัง

ดร. บุญเกียรติ แนะว่า ถ้ามีเป้าหมายจะพาองค์กร
หรือสังคมให้ไปสู่เป้าหมายต้องคิดบวกบ่อยๆ
เพื่อให้ความคิดเข้าสู่จิตใต้สำนึกซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดตามที่คิดได้ คล้ายๆกับ
การอธิษฐาน ซึ่งหากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
ก็คือการผูกมัดกับตัวเองในการที่จะทำเรื่องดีๆ นั่นเอง

“อยากให้ทุกคนมีความเชื่อและศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าการเกิดมา
เป็นมนุษย์นั้นคือโอกาสที่จะได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ เพื่อยกระดับจิต
เพื่อทำบุญ การคิดเช่นนี้จะทำให้มีพลังมากในการทำงานและดำเนินชีวิต
และการคิดบวกเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ทุกสถานภาพ ทุกสถานการณ์ ไม่ใช่
จะคิดบวกได้ต้องเป็นคนมีฐานะดี หรือ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีเท่านั้น”ดร.บุญเกียรติย้ำ

ต่อคำถามที่ว่าเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งจะดีขึ้นหรือไม่?

เป็นคำถามของนิสิตในห้องเรียน
และคงจะเป็นประเด็นคำถามของคนไทยทั้งประเทศในขณะนี้

ดร. บุญเกียรติ อธิบายว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นได้ อาจจะดีได้ในระดับหนึ่ง
แต่สำหรับคนที่คิดบวกจะสามารถทำให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้มาก
จะสามารถนำพาองค์กร หรือ
นำพาสังคมให้เจริญก้าวหน้าได้มากกว่า ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
และแนะนำว่าสำหรับคนที่จะทำธุรกิจในยุคนี้ ต้องมองจากฐานศูนย์
คือฐานปัจจุบัน จะอิงอดีตไม่ได้
และต้องตอบให้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้สำเร็จได้โดยไม่มีเงื่อนไข!


ต้องตอบให้ได้ว่าจะทำธุรกิจให้ใคร กับใคร(who)
ทำธุรกิจอะไร (what) ทำเมื่อไหร่ (when)
ทำที่ไหน (where) ทำอย่างไร (how)
นี่ต้องรู้คู่แข่ง ต้องมีข้อมูลคู่แข่ง
และทำเท่าไหร่(how much, how many)


หากมีเงินน้อยถ้าเทียบกับคู่แข่ง ก็ต้องเลือกสู้เป็นจุด
ชนะเป็นจุด ต้องขยัน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
และมีบริการที่ดี วิธีคิดเหล่านี้ก็จะช่วยได้

Mind Set สำหรับวันนี้!
คิดบวกเป็นพลังสู่ความสำเร็จ ...
ไม่ว่าจะเป็นใคร สถานภาพอย่างไร ในสถานการณ์ไหนก็คิดบวกได้!
หลังจบการบรรยายได้ยินเสียงของนิสิตคุยแลกเปลี่ยนกันว่าคงจะได้
คะแนนจาก ดร.บุญเกียรติ โชควัฒนา เต็ม100 เปอร์เซ็นต์!
สุดยอดของการคิดบวก !






Nov 14, 2010

วิทยากรดังเปิดมุมมองจากความสำเร็จ "จับเทรนด์ใหม่ ใส่อนาคตเด็กไทย"




มติชน

"This′s My Future 2010 จับเทรนด์ใหม่ ใส่อนาคตเด็กไทย"

เป็นกิจกรรมทอล์ค ฟอรั่ม ที่มูลนิธิไทยคมได้นำคนที่โดดเด่น
จากแต่ละสาขาอาชีพมาให้ความรู้นักเรียน นักศึกษา ครู และผู้ปกครอง
ที่เข้าร่วมรับฟังประสบการณ์จริงที่แต่ละคนได้ฝ่าฟันมาจนถึงฝั่งฝันถึง 12 คน
จัดระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย. ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ 8
ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ย.
ได้เชิญ 6 บุคคลที่ประสบความสำเร็จมาร่วมพูดคุย
ซึ่งได้รับเกียรติจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม เป็นผู้กล่าวเปิดงาน


"ล้มไม่สำคัญเท่าลุก ความสำเร็จเขาวัดกันวันที่ตอกตะปูโลงศพ"
ตัน ภาสกรนที



สำหรับคนแรกที่ก้าวขึ้นเวที "ตัน ภาสกรนที"
อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด
ได้เล่าถึงที่มาความสำเร็จของคนที่อยากประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น
การค้าขายอาหาร "ผมทอดไข่ไม่เป็น" ตัน กล่าวและว่า
แม้จะทำอาหารไม่เป็นแต่มันไม่สำคัญ
ถ้าเราเข้าใจอาหารที่เสิร์ฟว่าขายอะไรและ ขายให้ใคร
"เข้าใจกับทำเป็น ทำเป็นกับทำได้ ก็คนละเรื่องกัน ยกตัวอย่าง
ผมเข้าใจว่าถ้าจะทอดปลาให้อร่อย ปลาต้องสด ล้างให้สะอาดก่อน
น้ำมันที่ใช้ก็ต้องสะอาดไม่เคยผ่านการทอดอาหารอื่นมาก่อน
น้ำมันต้องร้อนใส่เยอะให้ท่วมตัวปลา ใส่ตอนที่น้ำมันเดือดแล้ว
เพื่อไม่ให้ปลาอมน้ำมัน ขณะทอดหากกลับปลาบ่อยปลาก็เละ
ผมบอกอย่างนี้ แต่ละคนกลับไปทำเองที่บ้านก็ใช่ว่าจะอร่อยทุกคน
แต่ที่ผมทำได้เพราะผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ"
นอกจากนี้ ต้องเอาใจของลูกค้ามาใส่ใจเรา
หากมัวแต่คิดเรื่องต้นทุนหรือกำไรอย่างเดียวไม่ได้
คิดว่าถ้าเป็นเราจ่ายไปแล้วรู้สึกคุ้มค่า
เมื่อเปรียบเทียบกับราคาอาหาร บรรยากาศ และบริการ
พอเอาราคาเป็นตัวตั้งที่เหลือเราก็ไปลด
ในส่วนของต้นทุนค่าเช่าที่หรือทำให้ ครบวงจร เช่น ถ้าหั่นปลา
แล้วเหลือเศษเนื้อนำไปต้มซุปได้อีก
เอาตรงนี้มาช่วยลดราคาต้นทุน ตรงนี้จะทำให้ลูกค้ากลับมาหาเรา


แม้จะให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพและวัตถุดิบในการทำอาหารและ"ลูกค้า"
ยัง เป็นพระเจ้า แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับพนักงานที่ คุณตัน แนะนำว่า
ถ้าพนักงานไม่สุขใจ การบริการให้ลูกค้าก็แย่ลง
เราต้องทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกับเราเหมือนเป็นหุ้นส่วน
ทำความรู้จักครอบครัว เพื่อนสนิทหรือแฟนของเขาได้ยิ่งดี
ห่วงใยเขาใส่ใจในวันเกิด คนสมัยใหม่คิดว่า
ใช้งานลูกน้องให้หนักและให้ผลตอบแทนเป็นโบนัสก็ได้
ขอยกตัวอย่างว่า การฝึกปลาโลมา
ทุกครั้งที่ทำตามคำสั่งครูฝึกก็จะให้อาหาร
เปรียบเทียบกับลูกจ้างก็ทำให้เขากระตือรือร้น
"ผมทำให้เขามีส่วนร่วมโดยการคิดยอดขายเพิ่มเข้าไปเป็นเงินพิเศษ
ให้เขารู้สึกร่วมถึงกำไรและขาดทุน จัดสรรผลประโยชน์ให้
ถ้าทำไม่ตามเป้าเขาก็ไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่น
เพราะเงินเดือนให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ
ยิ่งถ้าเราไม่ได้ลงไปดูแลร้านก็ไม่มีจิตวิญญาณของเจ้าของร้าน
ยิ่งลูกน้องไม่ได้ให้บริการด้วยความจริงใจ ลูกค้าก็ไม่เข้า"


ทั้งนี้ เจ้าของบริษัท ไม่ตัน จำกัด
ยังให้กำลังใจคนที่อยากก้าวเข้ามาสู่แวดวงธุรกิจว่า
"ตอนเล็กๆ ล้มไปเถอะ ล้มหลายๆ ครั้ง
ให้มองปัญหาเป็นเรื่องสนุกท้าทายเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ
ความล้มเหลวยังไงก็เหมือนกันทุกครั้ง แต่การประสบความสำเร็จนั้น
หนทางมีไม่เหมือนกัน ไม่มีใครไม่ล้มมีแต่คุณไม่รู้
ที่ผมเคยบอกว่าชีวิตนี้ไม่มีทางตันขอเพิ่มอีกว่า
ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคิด ขอให้ก้าวขาออกไปแค่ข้างเดียว
เผื่ออีกขาไว้ ทุกๆ ครั้งที่ล้ม ลุกขึ้นมานั่นสำคัญที่สุด
ความสำเร็จเขาวัดกันวันที่ตอกตะปูโลงศพ"


"การทำงานคือสมการ ตัวเรา+การปฏิบัติจะเท่ากับผลลัพธ์
ถ้าเราปฏิบัติเหมือนคนอื่นผลก็จะออกมาเหมือนกัน" กิตติรัตน์ ณ ระนอง


สำหรับสาขา Global Finance คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง
อธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร ผู้บริหารด้านการเงิน
เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และยังมีบทบาทสำคัญด้านการกีฬา กล่าวว่า
การทำงานเป็นเรื่องเรียบง่ายเหมือนสมการ
ตัวเรา+การปฏิบัติจะเท่ากับผลลัพธ์
ถ้าเราปฏิบัติเหมือนคนอื่นผลก็จะออกมาเหมือนกัน
หน้าที่ของคนที่ทำงานด้านบริหารจะต้องคิดแทนองค์กรและเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งคนทั่วไปอาจตอบคำถามเมื่อสักครู่ว่าให้เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติแต่คนที่
ประสบความสำเร็จจะมองว่าต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้เป็นคนใหม่ไม่ใช่เปลี่ยนการ
ปฏิบัติถ้าอยากรวยไม่ใช่คิดแค่ว่า
"รายรับ-รายจ่าย"จะเท่ากับเงินออม แต่ต้องเป็น
"รายรับ-เงินออม"เท่ากับร่ายจ่าย สมการแค่วางสลับที่ก็เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่าง


"ดร.ฟิลลิป คอตเลอร์ กูรูด้านการตลาดระดับโลก กล่าวไว้ว่า
ความจริงของความสำเร็จคือการลงตัวของผลิตภัณฑ์ (Product)
ต้องพึ่ง Place ของดีวางขายผิดที่ก็จำหน่ายไม่ได้ Price ราคาพอดี
แต่คนซื้อไม่ได้สนใจราคาถูกที่สุด Promotion การโฆษณา ประชาสัมพันธ์
คุณพ่อเคยให้ของขวัญผมในวันที่เรียนจบ ยื่นนาฬิกาที่ขณะนั้นราคา 5 หลัก
ผมดีใจมากแล้วก็เก็บไว้ หลายปีต่อมาผมเริ่มเล่นกอล์ฟแล้วหยิบไปใส่ตอนออกรอบ
เพราะเคยเห็นภาพนักกีฬากอล์ฟดังๆ โฆษณาตามนิตยสาร
แต่แล้วมันกลับหยุดเดิน ผมไปที่ร้านถามเขาว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้
เขาตอบผมว่านักกอล์ฟเขาใส่หลังตีเสร็จแล้ว
นี่คือความลงตัวของสินค้าที่ดึงนักกอล์ฟมาใช้
ในการประชาสัมพันธ์สร้างความมี ระดับ" คุณกิตติรัตน์ กล่าว
และฝากคำคมดังทิ้งท้ายไว้ว่า
"ความลำบากคือยายิ่งใหญ่ เพื่อจัดการความคิดผลักดันไปสู่ความสำเร็จ"


"ผมทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน เพราะทำแล้วมีความสุข" จุ๋ย จุ๋ยส์


อีกหนึ่งอาชีพที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันคือ ศิลปิน โดย "จุ๋ย จุ๋ยส์" สุทธิพงศ์ พงษ์รัมย์
นักร้องโชว์เดี่ยวที่เคยเข้าร่วมเวทีมหกรรมดนตรีระดับโลกอย่าง Glastonbury Festival
พร้อมทั้งทำเพลง สู้สิสู้ อยู่ในอัลบั้มประจำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010
นอกจากจะบอกเล่าประสบการณ์แล้ว ยังร้องเพลงประกอบการพูดคุยอีกด้วย
"ผมไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่ไปเรียนที่นั่น เริ่มต้นเล่นดนตรีประจำที่ร้านเล็กๆ หลังจากเพลง
อย่าขี้โม้ ขึ้นชาร์ตก็เริ่มมีงานที่กรุงเทพฯ และเริ่มทำเพลงโดยทำทุกอย่างเอง
ผมเอาศิลปะมารวมเข้ากับดนตรี
เพลงของผมมีสาระทุกเพลงใส่เนื้อหาของชีวิตเข้ามา อย่างเพลงบทที่ 1 (Lesson One)
คือการเรียนรู้ชีวิต ตั้งใจทำให้วัยรุ่นฟัง จึงสอดแทรกสาระให้เขาซึมซับโดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าโดนยัดเยียด
ตรงท่อนที่ว่า (ร้องเพลงประกอบ) แต่งตงแต่งตัวดีๆ กันนะหนู
ดื่มกงดื่มกันอย่าเอาให้แมว (เมา) จะท่งจะเที่ยวก็เอาเป็นครั้งคราว Lesson one บทที่ 1"


นักร้องอินดี้คนนี้ ยังฝากไว้ว่า ความสามารถทุกคนมีอยู่ในตัวเองต้องงัดมันออกม
อาชีพนักร้องต้องขยันและหมั่นฝึกซ้อม นี่คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
"ผมทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน เพราะทำแล้วมีความสุข"


"อาชีพนักจิตวิทยาเด็กออทิสติก ไม่ใช่แค่เราช่วยเขา
แต่เขาก็ช่วยเราให้ได้รับรางวัลชีวิต" ดร.ขวัญ หาญทรงกิจพงษ์



ด้านดร.ขวัญ หาญทรงกิจพงษ์ นักจิตวิทยาเด็กออทิสติก
ดีกรีด๊อกเตอร์จากฮาร์วาร์ด
แนะนำนักเรียนที่สนใจด้านนี้ เพราะเป็นสาขาที่ต้องการมาก
โดยเล่าที่มาว่า
เราเกิดมามีพันธุกรรม พื้นฐาน และอารมณ์ที่ต่างกัน
โดยวงจรของมนุษย์มีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา Me ตัวเรา
Microsystem ครอบครัว เพื่อน ครู Mesosystem
ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมและมีอิทธิพลต่อตัวเรา
Exosystem ระบบสาธารณูปโภค
ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล Microsystem
ความเชื่อ ศาสนา การเมืองและประเพณี
ทั้งหมดนี่มีผลต่อเราทั้งสิ้น
"ส่วนตัวก็ได้รับอิทธิพลจากครูที่สอนขณะเรียนมัธยมปลายในอเมริกา
ได้รับแรงบันดาลใจจากครูแนะแนวและ
ครูสอนภาษาอังกฤษจนไปเรียนต่อด้านจิตวิทยา
รวมไปทั้งภาพยนตร์ที่ชอบก็มีผลเช่นกัน
ต่อมาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับเด็กออ ทิสติก
ก็สนใจมากขึ้น เพราะคิดว่าการทำงานไม่ใช่แค่เราช่วยเขา
แต่เขาก็ช่วยเราให้ได้รับรางวัลชีวิต"


ดร.ขวัญ ยังเผยเคล็ดลับว่า คนที่สนใจด้านจิตวิทยาต้อง
ขี้สงสัย (อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา)
ค้นหาคำตอบ เป็นนักอ่าน มีความคิดเห็นและเป้าหมาย มีกรอบขอบเขต
มองหาสร้างโอกาส รวมทั้งคิดก่อนตัดสินใจ
ลองถูกลองผิดและเรียนรู้จากประสบการณ์
คนที่จบจากอาชีพนี้ไม่มีขอบเขต สามารถไปทำงานได้หลากหลาย
ภายในองค์กรใหญ่ๆ ต้องการคนที่จบสาขานี้มาก



"ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมเชื่อว่าคนไทยก็ทำได้"
กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล คนไทยที่ปั้นโปรเจ็คต์กูเกิ้ลเอิร์ธ


ส่วนคนที่สนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ชอบค้นคว้าผ่านอินเตอร์เน็ตต้องรู้จัก "กูเกิล"
โดยคนไทยที่ปั้นโปรเจ็คต์กูเกิ้ลเอิร์ธ (Google Earth) จนดังระดับโลก
คุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล จากเด็กชาวกำแพงเพชร
ที่ปัจจุบันสามารถตั้งบริษัทเล็กๆ ในซิลิค่อน วัลเล่ย์ (Silicon Valley)
เมืองแห่งไอที เล่าว่า ตนได้รับแรงบันดาลใจจากครูบ้านนอกที่สอนในวัยเด็ก
ทำให้หลงรักวิทยาศาสตร์จากการเรียนรู้ในธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี
ต่อมาสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากนั้นได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายปั่นจักรยานไปเรียน
และได้รับตำแหน่งประธานชมรมการตลาด หัวหน้าฝ่ายวิชาการ
เมื่อเรียนจบได้รับการชักชวนให้ไปทำงานถึง 5 บริษัท
และเสนอผลตอบแทนที่สูงมาก แต่ก็ปฏิเสธ
เพราะต้องการเป็นพนักงานของกูเกิล โดยใช้เวลากว่า 5 เดือน
สอบสัมภาษณ์ 8-9 ครั้ง กว่าจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์เสิร์ชเอนจินชื่อดัง


หลังจากที่ทำงานกับกูเกิลมากว่า 2 ปี คุณเรืองโรจน์ ได้ตัดสินใจลาออก
โดยเล่าถึงโปรเจ็คต์สุดท้ายที่ภูมิใจมาก Google Earth Hero
ผู้นำชนเผ่าสุรุยแห่งอเมซอน ที่ปกป้องป่าจากการทำลายโดยคนผิวขาวโดยใช้กูเกิ้ลเอิร์ธ
"หัวหน้าเผ่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลก
ผมก็เชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร"


"ซุกซนที่จะค้นหา" ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ไกด์คนดัง


หากชอบท่องเที่ยว "ณวัฒน์ อิสรไกรศีล"
พิธีกรและไกด์คนดัง ที่ขอเปิดมุมมองไกด์รอบโลก ว่า
อาชีพมัคคุเทศก์ใครก็สามารถเป็นได้ ขอแค่ช่างคิดและช่างพูด
อาชีพบริการต้องพูดได้ไม่ทั้งหมดสำคัญที่รู้กาละเทศะ
สิ่งที่ควรฝึกฝนคือการพูดต่อหน้าคนพาเขาไปเที่ยวแล้วไม่น่าเบื่อ
สำหรับเรื่องภาษาไม่ใช่เรื่องยาก ภาษาก็เหมือนดนตรีพูดได้เพราะความคุ้นเคย
ข้อดีของการเป็นไกด์คือสามารถท่องเที่ยวได้ทั่วโลกออกไปเห็นในสิ่งที่แตก ต่าง
อาชีพนี้ต้องพัฒนาตัวเองศึกษาให้รอบรู้ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต
ซุกซนที่จะค้นหา ที่สำคัญอย่าหลงระเริงกับสิ่งที่ได้มาและต้องไม่ผิดวินัย
ยกตัวอย่าง การพาลูกทัวร์ไปเที่ยวแล้วมีคำถามที่เราไม่รู้ อย่าเดาส่งหรือแต่งเอง


ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดดีๆ จากพิธีกรและไกด์ชื่อดัง
"อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป อย่ามีเงื่อนไขในชีวิต อย่ายืนรอโอกาส"










กันก่อนจะสาย

http://teetwo.blogspot.com/2007/05/blog-post_08.html

ไทยรัฐ
วีรพจน์ อินทรพันธ์

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสไปร่วมฟังปาฐกถาที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยอดีตประธานาธิบดี "บิลล์ คลินตัน" แห่งสหรัฐฯ
จะเก็บไว้ ก็คงอกแตกตาย...เลยต้องนำมาเล่าให้ฟัง

เพราะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนหนีไม่พ้น ต้องเผชิญอย่างแน่นอน
ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งก็คือปัญหา "ภาวะโลกร้อน" อันน่าสะพรึงกลัว

น่า กลัวเช่นไร...อธิบายได้ง่ายๆ
อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สุดท้ายระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้น เมืองต่างๆริมชายฝั่ง
หรือแม้กระทั่ง "ประเทศ" ก็อาจจมอยู่ "ใต้บาดาล"

ซึ่งกรณีนี้ท่านคลินตันมีความเข้า ใจถึงปัญหา เป็นอย่างดี
เพราะระหว่างการบรรยายได้มีการเน้นย้ำอยู่เสมอว่า
"การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น จริงๆ"

อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะสิ่งที่บั่นทอนการรับมือปัญหาโลกร้อน
กลับกลายเป็นสิ่งที่คนยุคปัจจุบันไขว่คว้ามากที่สุดนั่นคือ
"ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ"

สาเหตุที่เหล่าผู้นำประเทศไม่สามารถ
บรรลุข้อตกลงได้ในการประชุมสุดยอดรับมือโลกร้อน
ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อปีที่ผ่านมา
ก็เพราะพวกเขาสนใจแต่เรื่องของเศรษฐกิจ
"ซึ่งความเป็นจริงแล้วการแก้ปัญหาโลกร้อน
กลับก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจเสีย ด้วยซ้ำ
เพราะถ้าหากรัฐหันมาจับด้านเทคโนโลยีสีเขียวอย่างพลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานลม รวมถึงไปถึงการพัฒนาระบบของอุตสาหกรรมรีไซเคิลนั้น
ก็จะก่อให้เกิดการลงทุน พร้อมทั้งเป็นการสร้างงานแก่ประชาชนไปในตัว"

มี ประเทศที่เกือบทำสำเร็จในเรื่องนี้ ได้แก่ เยอรมนี เดนมาร์ก สวีเดน และอังกฤษ
แต่ก็ไปไม่ถึง ฝั่งฝันเพราะถูกปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2551
เล่นงานเสียก่อน แม้ขณะนี้ยังไม่อาจตอบได้ว่าจะป้องกันภาวะโลกร้อนได้หรือไม่
เพราะถึงจะรณรงค์มานานแต่ผู้คนอย่างในประเทศ "สหรัฐฯ"
ของตนเองก็มิได้ รู้สึกวิตกกังวล เนื่องจากมองว่าเป็นปัญหาไกลตัว

"อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยผมเชื่อว่ามีศักยภาพมากพอ
ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง สิ่งสำคัญคือต้องไม่ยึดติดต่อผลประโยชน์
แม้จะต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง แต่มันก็คุ้มค่าที่จะช่วยโลกใบนี้ให้คงอยู่
ตราบนานชั่วลูกชั่วหลาน" ท่านคลินตันกล่าว

นับเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเต็มไปด้วยความห่วงใย
ต้องขอขอบคุณกระทรวงพลังงานที่จัดงานดีๆเช่นนี้ให้เป็นจริง.









Nov 12, 2010

รองศาสตราจารย์ สมเกียรติ ตั้งนโม

ด้วยความเคารพอย่างสูงแด่ท่านอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม

สมเกียรติ ตั้งนโม กับโครงการทางการเมืองที่ยังไม่เสร็จ
อุทิศ อติมานะ

ชีวิตนั้นไร้สาระ ว่างเปล่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านมา ที่เหลืออยู่เป็นเพียง
“ความทรงจำ” เกี่ยวกับการกระทำที่ผ่านมา
เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สมเกียรติ ตั้งนโม อีกชีวิตหนึ่งที่จากไป
แต่ก็ยังอยู่ใน “ความทรงจำสาธารณะ”
ที่สำคัญอีกบทหนึ่งของสังคมไทย
เป็นความทรงจำสาธารณะถึงชีวิตหนึ่งที่มีอุดมการณ์เพื่อ
“ผลประโยชน์สาธารณะ” มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท
มีวินัยอย่างคงเส้นคงวาตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เสมอภาค ความไม่รู้ ความไม่ยุติธรรม
ความไม่ชอบธรรม ฯลฯ ในสังคมไทยและโลก
ดูเหมือนว่าพันธกิจนี้จะยังคงเป็น “งานที่ไม่เสร็จ”
ความเป็นสมเกียรติ ตั้งนโม เริ่มต้นจากความไม่เสมอภาค
ความไม่รู้ ในวงการศิลปะ
จากปัญหาดังกล่าวผลักดันเขาให้สร้างสรรค์ผลงานแปล เรียบเรียง
และบทความ เกี่ยวกับความรู้ขั้นสูงร่วมสมัยในศาสตร์ศิลปะ
และสาขาที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างมากมาย
ด้วยความเชื่อส่วนตัวที่ว่า
ความคิดเชิงวิจารณ์เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
และความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม ชอบธรรม
จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงปราศจากความรอบรู้ในศาสตร์ขั้นสูงสาขาต่างๆ
ซึ่งความรู้เหล่านั้นส่วนใหญ่ ยังคงอยู่ในโลกของผู้ใช้ภาษาอังกฤษ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกฝึกฝนมาให้เป็นนักแปลมืออาชีพก็ตาม
หรือแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้รับค่าจ้างแปลใดๆ
ตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
แต่เขาสามารถผลิตผลงานแปลและเรียบเรียง
หนังสือวิชาการขั้นสูงในสาขาต่างๆ มากมายกว่าร้อยเล่มอย่างต่อเนื่อง
เขาเริ่มจากการแปลและเรียบเรียงตำราวงการศิลปะ
ค่อยๆก้าวมาสู่การเขียน การแปล
และเรียบเรียงตำราในวงการมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
ต่อมาเขาริเริ่มโครงการเสวนา “ศิลปะ ปรัชญา และวิทยาศาสตร์”
ราว 10 ปีที่ผ่านมาด้วยความเชื่อที่ว่า
เมื่อคนไทยมีความรอบรู้ขั้นสูงในสาขาต่างๆ 
เชิงบูรณาการที่มากพอ จะนำมาสู่การสามารถวิเคราะห์ รู้เท่าทัน
ความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยที่มีความซับซ้อน ซ่อนรูป
สามารถเข้าใจปัญหาสังคมระดับโครงสร้างเหตุปัจจัยต่างๆ 
ระดับแนวคิดเชิงทฤษฏี โดยผ่านเวทีเสวนาที่เขาริเริ่มขึ้น 
เพื่อสร้างชุมชนวิชาการที่มีความเป็นสหวิทยาการ ร่วมกันผลิต 
“แนวคิดเชิงวิพากษ์สังคม”
ผ่านมุมมองของศาสตร์และความเห็นของบุคคลที่หลากหลาย
เพื่อให้เกิดชุมชนนักวิชาการที่ไม่มีแรงจูงใจเพื่อรับใช้อำนาจของคน
บางกลุ่ม แต่รับใช้ “ผลประโยชน์สาธารณะอย่างไม่มีเงื่อนไข”
เพื่อสร้างพลังการต่อรอง ต่อต้าน ประท้วง
ทั้งทางตรงทางอ้อม ฯลฯ ต่อความไม่เสมอภาค ความไม่ยุติธรรม
ความไม่ชอบธรรมต่างๆ ในสังคมไทยและโลก
จากความเป็นนักทฤษฏี สู่ความเป็น
“นักปฏิบัติการทางการเมืองภาคประชาชน”
สมเกียรติเข้าร่วมกับกัลยาณมิตรที่มีอุดมการณ์ร่วมคล้ายกัน
ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เป็นมหาวิทยาลัยทางเลือก
เพื่อสรรค์สร้างปฏิบัติการทางการเมืองภาคประชาชน
เน้นการแก้ปัญหาสังคมไทยระดับ “แนวคิดเชิงวิพากษ์”
ที่ตรงไปตรงมา มีเหตุผล
วิจารณ์เท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะในแต่ละจังหวะเวลา
อย่างไม่มีเงื่อนไข อาทิ มีการออกแถลงการณ์
ให้ข้อคิดเชิงหลักการต่อเหตุการณ์ทางการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
มีการทำสงครามเพื่อสัญลักษณ์ ฯลฯ
รวมทั้งมีการต่อยอดพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนสู่โลกอินเทอร์เน็ต
มันทำให้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกลายเป็นชุมชนวิชาการไทย
ที่สร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
และทรงอิทธิพลในสังคมไทยต่อมา
ซึ่งสมเกียรติมีบทบาทสำคัญอย่างมาก
ในฐานะผู้รับผิดชอบเว๊ปไซด์ ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
แน่นอนที่สุด ชีวิตนั้นว่างเปล่า ไร้สาระ ชั่วคราว
แต่อย่างน้อย สมเกียรติ ก็ได้ท้าทาย “กฎแห่งความไร้สาระของชีวิต”
สู่การทำให้ชีวิตของเขาที่ผ่านมา
“มีสาระบางประการท่ามกลางความว่างเปล่า”
เป็นสาระแห่งชีวิตที่ถูกใช้อย่างทุ่มเท จริงจัง มีวินัย ฯลฯ
เพื่อตอบสนองคุณค่าความจริง ความดี ความงาม อย่างปราศจากเงื่อนไข
ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของอารยธรรมมนุษย์
เพื่อต่อสู้กับความไม่รู้ ความไม่เสมอภาค ไม่ยุติธรรม ไม่ชอบธรรม
ความไร้ระเบียบ ฯลฯ ในสังคม “ความเป็นสมเกียรติ ตั้งนโม”
น่าจะกลายเป็น “ความทรงจำสาธารณะ”
อีกบทหนึ่งที่ควรค่าต่อการจดจำ และส่งต่อผ่านคนรุ่นหลัง
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สืบต่อบทบาทการเมืองภาค
ประชาชน แนวคิดเชิงวิพากษ์ และการสร้างชุมชนวิชาการของสังคม
ที่ร่วมกันผลิตสื่อทางเลือก คอยเฝ้าระวัง “มุมมืด” ที่มีในตัวเราทุกคน
เพื่อร่วมตั้งคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับ “ผลประโยชน์สาธารณะ” อย่างต่อเนื่อง
จริงจัง ทุ่มเท เป็นสงครามที่ยังไม่ยุติ

รศ.สมเกียรติ เป็นนักวิชาการด้านศิลปะร่วมสมัยและสุนทรียศาสตร์
สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร
เมื่อปี 2522 ต่อมาสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากรเมื่อปี 2528
และสำเร็จการศึกษาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2533
เริ่มเข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ในตำแหน่งอาจารย์ประจำที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อปี 2535
ต่อมาในปี 2543-2544 เป็นหัวหน้าสาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์
ในปี 2547 เป็นรองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิจิตรศิลป์
และเป็นคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ในปี 2540
รศ.สมเกียรติ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายทางวิชาการที่ชื่อ
"มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน" เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
และเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์
http://www.midnightuniv.org (not active)

ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการบทความ
ทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนตั้งแต่ปี 2541
จนถึงปัจจุบัน
เวบไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ชื่อว่าเป็นชุมชนวิชาการ
และปัญญาชนที่กล้าหาญทางจริยธรรม
และทวนกระแสหลักในการวิพากษ์วิจารณ์สังคม
เมื่อเวลา 05.30 น.วันที่ 6 กรกฎาคม
ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม คณบดีวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อดีตอธิการบดีและผู้ก่อตั้งเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยอายุ 52 ปีที่โรงพยาบาล
ด้วยอาการระบบอวัยวะล้มเหลวจากโรคมะเร็งตับ
ซึ่งลุกลามจากการป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้มาก่อนหน้านี้
นางอรณิชา ตั้งนโม ภรรยาของอาจารย์สมเกียรติ เปิดเผยว่า
ก่อนเสียชีวิตอาจารย์สมเกียรติป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้โดยแพทย์ตรวจพบมา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2553
จากนั้นเข้ารับการรักษาด้วยการคีโมรวม 8 เข็ม
ต่อมามีอาการทรุดหนักในเดือนมิถุนายน
และรับการรักษากับแพทย์ประมาณ 2 สัปดาห์
และต้องเข้ามานอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2553 และมาเสียชีวิตลงอย่างสงบ 
ก่อนเสียชีวิตอาจารย์สมเกียรติได้นอนภาวนาแล้วจากไป
โดยไม่ต้องใช้เครื่องกู้ชีพใด ๆ
เป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติด้วยการหลับไป
ในการตั้งศพบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาระหว่าง 7-9 กรกฎาคม
จะมีขึ้นที่วัดพระสิงห์วรวิหาร อ.เมือง
เบื้องต้นคณะวิจิตรศิลป์ มช.จะรับเป็นเจ้าภาพดูแล
โดยพิธีสวดจะเริ่มวันแรกคือพรุ่งนี้(7 กรกฎาคม)
วันแรกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับเป็นเจ้าภาพ
วันที่สองมหาลัยเที่ยงคืนร่วมกับตนเองจะเป็นเจ้าภาพ
จากนั้นจะทำพิธีฌาปนกิจศพ ในวันเสาร์ที่10 กรกฎาคม
ที่สุสานหายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สมเกียรติ ตั้งนโม
อาจไม่ได้เป็นปัญญาชนชื่อเสียงโด่งดังคับบ้านคับเมือง
แต่ในท่ามกลางบรรดาผู้สนใจใฝ่หาความรู้
รวมถึงผู้ที่สนใจความเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนไม่น้อย
คงเคยได้ยินชื่อของเขาบ้างในฐานะบุคคลหนึ่ง
ที่มีส่วนอย่างสำคัญ
ทั้งในแง่ของการสร้างฐานความรู้ที่ทันสมัย
และกว้างขวางบนสื่ออินเตอร์เน็ต

จากการก่อตั้งเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
และในฐานะสมาชิกคนสำคัญของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็น
ที่มุ่งเน้นถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
และการสร้างสังคมประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง สมเกียรติ
ได้จากพวกเราทั้งหมดไปอย่างสงบแล้ว

เมื่อเช้าวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553
(6 เดือนตั้งแต่ได้บอกผมว่ามีก้อนอะไรกลมๆ อยู่ที่ตรงท้องของเขา)
โดยได้ทิ้งอะไรหลายอย่างไว้ให้เป็นอนุสติแก่พวกเรา
ทั้งในด้านที่ควรนำมา ไตร่ตรอง ขบคิด
เฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ “ความรู้”
อันเป็นสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่า
เป็นสิ่งที่มีความหมายและความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในช่วงการมีชีวิตอยู่ของอาจารย์สมเกียรติ
เขาเป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้น
ในการแสวงหาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ใครที่เป็นคนใกล้ชิดคงจะได้ฟังเรื่องราวทางวิชาการใหม่ๆ
จากปากของอาจารย์สมเกียรติอย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่ได้อ่านงานหรือรับฟัง
การบรรยายอภิปรายใดๆเสร็จ และมีความประทับใจ
จนทำให้เราต้องไปติดตามอ่านงานที่ได้ถูกกล่าวถึง
อาจารย์สมเกียรติเป็นคนที่สนใจในการแปลงานวิชาการอย่างยิ่ง
จะเห็นได้ว่างานจำนวนมากของเขาเป็นผลงาน
การนำความรู้จากตะวันตกมาสู่สังคมไทย
อันเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรู้มากเท่าไหร่
ความใฝ่ฝันของเขาซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จก็คือ
การจัดตั้งโครงการแปลตาม “อำเภอใจ”
เขาได้ขอให้ผมลองช่วยหาทุนมาสนับสนุนการแปล
ที่จะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของ
เขาโดยไม่มีการกำหนดเนื้อหาเอาไว้ล่วงหน้า
ซึ่งแน่นอนว่าคงยากจะหาแหล่งทุนใดมาสนับสนุนได้เป็นอย่างแน่แท้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่แหล่งทุน
ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศก็ล้วน
ต้องอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมคุณภาพเฉกเช่น
โรงงานผลิตปลากระป๋อง
การให้ทุนจึงเต็มไปด้วยเงื่อนไข ข้อตกลง คำถามการวิจัย
หรืออะไรประมาณนี้ที่ชัดเจน
(แม้จะไม่มีใครให้การสนับสนุนต่อโครงการแปลตามอำเภอใจ
แต่อาจารย์สมเกียรติในเวลาก่อนหน้า
เป็นคณบดีคณะวิจิตรศิลป์และก่อนที่จะรู้
ตัวว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ก็ยังทำงานแปลอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 6 หน้า) 
แต่ความรู้ชนิดไหนที่อาจารย์สมเกียรติสนใจ
เขาให้ความสำคัญกับความรู้ในแบบที่สังคมกระแสหลัก
ไม่สู้จะให้ความสนใจ ความรู้ในแบบที่แตกต่างจากกระแสหลัก
ความรู้ที่เป็นการโต้แย้ง
หรือแม้กระทั่งเป็นอริกับความรู้กระแสหลักคือ
สิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อผมได้พูดถึงแนวคิดเรื่องการดื้อแพ่ง
ต่อกฎหมายเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในยามที่เพิ่งรู้จักกัน
อาจารย์สมเกียรติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งต่อมาในภายหลังจึงเข้าใจว่า
เพราะอยู่ในทิศทางของความรู้ที่เขาสนใจ
หากมีเวลาลองไล่เรียงงานของอาจารย์สมเกียรติ
บางคนที่ไม่คุ้นเคยอาจมึนงงอยู่บ้างกับงานเขียนหลายชิ้น เช่น
แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-colonialism), ความรู้ช้า (Slow knowledge), ลิขซ้าย (Copyleft),
วัฒนธรรมทางสายตาหรือ Visual Culture
(สำหรับเรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่
อาจารย์สมเกียรติมีความภาคภูมิใจ
เป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอ ตอนที่เริ่มอ่านเริ่มแปลเรื่องนี้ใหม่ๆ
ทุกครั้งในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ว่าการเมือง สังคม วัฒนธรรม
การช้อปปิ้ง การแต่งกาย
ล้วนจะต้องมีแนวการวิเคราะห์แบบ Visual Culture โผล่มาด้วยทุกครั้ง)
เขามีความสุขกับการเดินทางไปในโลกแห่งความรู้
การอ่านและการคิดของเขาไม่ใช่เพียง
เพราะต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ ลูกศิษย์
เราทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดคงตระหนักดีได้
ว่าการทำงานของอาจารย์สมเกียรติคือ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
(ทั้งนี้ความสำราญใจประการหนึ่งที่รับรู้กันดีก็คือ
อาหารมันๆ ประเภทข้าวขาหมู หรืออะไรที่มีรสหวานจัด
ตบท้ายด้วยเป๊ปซี่เย็นๆ)
แม้ว่าเวลาทำงานอย่างเพลิดเพลินของเขา
อาจไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปมากเท่าไหร่
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนั้นเป็นการลงแรงของอาจารย์สมเกียรติ
ในห้วงเวลาที่มนุษย์ต่างพากันนอนพักผ่อนเป็นส่วนใหญ่
ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนมาจนถึงเกือบรุ่งสาง
แต่ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบสนองต่อความกระหายอยากในความรู้
อาจารย์สมเกียรติยังให้ความสำคัญกับ
การใช้ความรู้ในการสนับสนุนคนตัวเล็กๆ
ในสังคมให้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
เขาจึงมิได้เพียงนั่งป่าวประกาศสัจธรรมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น
มีโครงการหลายอย่างที่ถูกเสนอขึ้นในระหว่างพวกเรา
(มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
นำอาจารย์สมเกียรติออกไปในสถานที่ต่างๆ บ้านกรูด บ่อนอก
ที่ประจวบคีรีขันธ์ เขื่อนปากมูล อุบลราชธานี
สหภาพแรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน บ้านปางแดง เชียงใหม่
และอีกหลายแห่ง อันทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวางมากขึ้น
การเผยแพร่ความรู้ต่อสังคมนับเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ
สมเกียรติได้แสดงให้เห็นถึง
ความมุ่งมั่นต่อการคิดและพูดอย่างเสรีมากที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เขาได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า
สามารถนำบทความไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ภายใต้ระบบCopyleft (อันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Copyright) 
โดยที่แทบไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้อำนาจทางการเมือง
อันเป็นบทบาทที่เห็นได้บ่อยครั้ง
แม้ว่าความเห็นของอาจารย์สมเกียรติอาจไม่เหมือน แตกต่าง
หรือแม้กระทั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงส่วนใหญ่
หรือเสียงของผู้มีอำนาจก็ตาม จึงไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะเป็นคนหนึ่งที่
สนับสนุนให้มีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
(อันนำมาสู่การกล่าวหาว่าเขาไม่จงรักภักดี
ภายหลังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะ วิจิตรศิลป์แทบไม่น่าเชื่อว่า
ข้อกล่าวหานี้สามารถทำงานได้
แม้ภายในสถาบันการศึกษาระดับสูงของสังคม)
ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์
แต่เป็นเพราะกฎหมายนี้ได้
ทำให้คนต้องปิดปากและถูกปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐ
เมื่อถูกอำนาจรัฐสั่งปิดเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
อาจารย์สมเกียรติเลือกที่จะต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย
มากกว่าจะไปแอบเปิด
เว็บไซต์ในชื่ออื่นเพื่อหลบหลีกการตรวจจับของรัฐบาล
แม้การกระทำในแบบหลังจะง่ายกว่ามากนัก
แต่เพื่อยืนยันถึงความถูกต้องและเสรีภาพในการแสดงความเห็น
แม้อาจลำบากมากกว่าก็เป็นทางที่อาจารย์สมเกียรติได้เลือก
ความกล้าหาญในการยืนยันถึงสิ่งที่เป็นความถูกต้องจากความรู้
จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวความรู้นั้นด้วย
ชีวิตของอาจารย์สมเกียรติจึงควบคู่ไปกับความรู้
แต่ความรู้ของอาจารย์สมเกียรติ
จึงไม่ใช่เป็นการพร่ำบ่นในชั้นเรียนเพื่อนำไป
สู่ใบปริญญาของผู้เรียน หากเป็นความรู้ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้
และความรู้ที่มีความหมายต่อคน ในสังคม
อันเป็นสิ่งที่เรามักไม่ค่อยได้เห็นกันมากสักเท่าไหร่ในห้วงเวลาปัจจุบัน
หากจะพอบอกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง
การยืนยันในความรู้ตามแบบที่ได้ดำเนินชีวิตมาโดยตลอดของเขา
ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อความเข้าใจใน เรื่อง “ความรู้” ของปัญญาชน
และคนในมหาวิทยาลัยในสังคมไทยอย่างสำคัญ
รศ.สมเกียรติ มีผลงานทางวิชาการเล่มสำคัญคือ
"มองหาเรื่อง: วัฒนธรรมทางสายตา"
cr.http://www.artgazine.com



ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2552 ที่ผ่านมา คณาจารย์ บุคลากร และศิษย์เก่าคณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กลุ่มหนึ่ง ได้เคยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดำเนินการถอดถอน รศ.สมเกียรติ ออกจากตำแหน่งคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มช. หลัง รศ.สมเกียรติ
ร่วมลงชื่อสนับสนุน การแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) อย่างไรก็ตาม รศ.สมเกียรติ
ยังได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งคณะบดีคณะวิจิตรศิลป์อยู่ตราบจนกระทั่ง เสียชีวิต