Custom Search

Jan 17, 2021

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงงาน

รำลึกพระราชกรณียกิจ "ร.9" ทรงงานเพื่อคนไทยทั้งประเทศ
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์


ในทุกปีของวันที่ 5 ธ.ค. ถือเป็นวันสำคัญของคนไทยทั้งประเทศ
เนื่องจากรัฐบาลประกาศวันดังกล่าวเป็นวันชาติไทยมีความสำคัญถึง
3 วาระในวันเดียวกัน คือ
1.เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
2.เป็นวันชาติ และ
3.เป็นวันพ่อแห่งชาติ
ทั้งหมดเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่
ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานต่อประเทศชาติ
และประชาชนเสมอมา
รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของวันที่ 5 ธ.ค.
ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาอีกด้วย
เชื่อว่าคนไทยทุกคนล้วนตระหนักถึงพระราชกรณียกิจมากมายหลาย
โครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
ที่พระองค์ทรงคิดและลงมือทำไว้ให้หลายโครงการ
แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบเรื่องราวอย่างลึกซึ้ง
ถึงพระราชกรณียกิจสำคัญๆ เหล่านี้
อย่างเช่น “โครงการฝนหลวง”
ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร
ในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดารกว่า 15 จังหวัด
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎร
และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล
วิศวกรและนักประดิษฐ์ควายเหล็กที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯแล้
พระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล
โดยมีทฤษฎีต้นกำเนิดจากแนวคิด “หลักการแรกคือ
ให้โปรยสารดูดซับความชื้น (เกลือทะเล)
จากเครื่องบิน เพื่อดูดซับความชื้นในอากาศ
แล้วใช้สารเย็นจัด(น้ำแข็งแห้ง)
เพื่อให้เกิดความชื้นกลั่นตัวและรวมตัวเป็นเมฆ”
จากทฤษฎีดังกล่าวพระองค์ยังใช้เวลาในการคิดค้นทดลองนาน
อีกกว่า 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัยเพื่อประกอบการค้นคว้า
ทดลองมาโดยตลอด
จากการดำเนินการลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ
มาถึงทุกวันนี้
สร้างความปลื้มปีติให้กับประชาชนคนไทย
ทั้งประเทศจนถึงปัจจุบันเพราะความเดือดร้อน
เกี่ยวกับภัยแล้งสร้างความทุกข์อย่างหนักหนามานาน
แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน
ทำให้กระบวนการสร้างฝนหลวงเปลี่ยนพื้นที่ภัยแล้ง
เป็นความชุ่มชื้นแทน
นั่นก็เป็นที่มาของพระราชกรณียกิจ
ด้านโครงการฝนหลวงถัดมา
“โครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา”ในหลวงรัชกาลที่ 9
ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาน้ำเสียที่เกิดขึ้น
และทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้
หลังจากทรงทอดพระเนตรสภาพน้ำเสียพื้นที่หลายแห่ง
ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจึงพระราชทาน
พระราชดำริเกี่ยวกับการแก้ไขน้ำเน่าเสีย
ในระยะแรกระหว่างปี 2527-2530
ทรงแนะนำให้ใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสีย
และวิธีกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวาและพืชน้ำต่างๆ
สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาน้ำเสียไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงกลับ
มีแนวโน้มอัตราความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การใช้วิธีธรรมชาติไม่อาจบรรเทา
ความเน่าเสียของน้ำได้เท่าที่ควร
พระองค์ท่านจึงพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติม
อากาศแบบประหยัดค่าใช้จ่ายที่ผลิตได้เองในประเทศ
ซึ่งมีรูปแบบ “ไทยทำไทยใช้”
โดยทรงได้แนวทางจาก “หลุก”
ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิดน้ำเข้านาที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน
เป็นจุดคิดค้นเบื้องต้น
และทรงมุ่งหวังที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
ในการบรรเทาน้ำเน่าเสีย
จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณ
เพื่อการศึกษาและวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้
โดยดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสีย
ร่วมกับกรมชลประทาน
ซึ่งได้มีการผลิตเครื่องกลเติมอากาศขึ้นในเวลาต่อมา
และรู้จักกันแพร่หลายทั่วประเทศในปัจจุบันคือ
“กังหันน้ำชัยพัฒนา”
นอกจากนี้ยังมี “โครงการแกล้งดิน”
เป็นแนวพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวในพื้นที่ จ.นราธิวาส
และพื้นที่ใกล้เคียง
ให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ได้ทำการศึกษาวิจัยและปรับปรุงดินโดยวิธีการ “แกล้งดิน”
คือทำให้ดินเปรี้ยวเป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด
ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกโดยนำน้ำ
เข้าแปลงทดลองระยะหนึ่ง
และระบายน้ำออกให้ดินแห้งระยะหนึ่งสลับกัน
จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกรดมากยิ่งขึ้น
ด้วยหลักการนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9
ทรงให้เลียนแบบสภาพธรรมชาติ
ซึ่งมีฤดูแล้งและฤดูฝนเป็นปกติในแต่ละปี
แต่ให้ใช้วิธีการร่นระยะเวลาช่วงแล้งและช่วงฝนในรอบปีให้สั้นลง
โดยปล่อยให้ดินแห้ง1 เดือน
และขังน้ำให้ดินเปียกนาน 2 เดือน สลับกันไป
เกิดภาวะดินแห้งและดินเปียก 4 รอบ/1 ปี
เสมือนกับมีฤดูแล้งและฤดูฝน 4 ครั้ง ใน 1 ปี
หลังจากนั้นจึงให้หาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้
สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้
และ “ทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียง”
ถือเป็นโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจและ
นำไปปฏิบัติใช้อย่างมาก
เนื่องจาก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ได้พระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่
โดยเป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในขั้นต้น
โดยการทำเกษตรทฤษฎีใหม่นี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่
ขั้นต้นคือ การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน
ตามอัตรา 30-30-30-10 เพื่อขุด
เป็นสระกักเก็บน้ำร้อยละ 30
ปลูกข้าวในฤดูฝนร้อยละ 30
ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชผักสมุนไพร ร้อยละ 30
และเป็นที่อยู่อาศัยอีกร้อยละ 10

ขณะเดียวกันเป้าหมายของทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียง
คือต้องการให้ประชาชนบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมเกิด
ประโยชน์ตามแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตาม ยังมีพระราชกรณียกิจอีกจำนวนมาก
ที่ไม่สามารถหยิบยกมาได้ทั้งหมด
แต่สิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำไว้สร้างแรงบันดาลใจ
และแนวปฏิบัติในการใช้ชีวิต
และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากพระราชกรณียกิจ
ที่พระองค์ทรงทุ่มเททำไว้ให้ชาวไทยทั้งประเทศ