ภาพจาก beartai
17.01.2020
ล้างรถ, แจกใบปลิว, ถ่ายรูป, เขียนข่าว, ออกแบบท่าเต้น, งูเหลือม,
ดีเจ, พิธีกร, ทำรายการโทรทัศน์, ขายเนื้อทอดเทวดา ฯลฯ
คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งในสัมมาชีพที่เป็นส่วนประกอบสร้างสำคัญ
ทำให้เราได้รู้จัก ‘น้าเน็ก’ เจ้าของคอนเซปต์ ‘ผู้ชายปากหมา หน้าตี๋ ชาติตระกูลดี หัวสี มีหนวด’
แห่งรายการ อย่าหาว่าน้าสอน ที่มีคนโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาจนสัญญาณรวนไปหมดในช่วงแรก
เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2512 ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา
ชื่อเล่น เน็ก มาจากคำว่า ‘Snake’
ที่คุณปู่ตั้งให้ เพราะเป็นเด็กตัวเล็ก คลอดก่อนกำหนด นอนขดตัวเป็นก้อนอยู่ในโรงพยาบาล
และบางครั้งก็ถูกเพิ่มคำน่ารักด้วยการเรียกว่า ‘สเน็กกี้’
เน็กย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ชีวิตวัยเด็กไปกับการรับหน้าที่ปัด กวาด เช็ด ถู ทำงานบ้าน
รวมทั้งการเข้าครัวและทำทุกอย่างตามที่คุณพ่อต้องการจนสามารถทำเป็ดปักกิ่งได้ตั้งแต่ยังเด็ก
เน็กเคยเล่าให้ฟังอยู่หลายครั้งว่าคุณพ่อเป็นเจ้าของฟาร์มขนาดใหญ่ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานหนัก
อีกหนึ่งเรื่องที่เขาต้องทำเป็นประจำคือถอดรองเท้าบู๊ต
ให้คุณพ่อที่มักจะเหนื่อยจากการทำงานหนักและ
นอนหลับอยู่บนโซฟา
เมื่ออายุได้ 20 ปี พ่อแม่ถามเน็กและพี่ชายว่าอยากดูแลธุรกิจนี้
ต่อหรือเปล่า
ถ้าไม่ทำต่อ พ่อจะขายกิจการทิ้งและนำเงินก้อนโตมาให้ เขายอมรับว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่
และอนุญาตให้ใช้ชีวิตได้ตามต้องการ
ในช่วงแรกเน็กอยู่ในภาวะไม่รู้จะทำอย่างไรกับความอิสระที่ได้รับ
เขาทำงานบ้านจนไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งที่เรียกว่าคอนโดฯหรือบ้านเช่า
เขาจึงตัดสินใจเช่าโรงแรมแบบรายวันอยู่เป็นเวลาหลายเดือน
ไปพร้อมๆ กับการตามหาว่าสิ่งที่ ‘อยากทำ’ จริงๆ คืออะไรกันแน่
เนื่องจากไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร
เน็กใช้วิธีลองทำทุกอย่างที่เขาอยากทำ เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบรถ
ก็ขับรถราคาแพงไปสมัครเป็นคนล้างรถที่ปั๊มน้ำมัน
คิดหาวิธีทำความสะอาดรถให้ดีที่สุด
เขาล้างรถจนแค่หลับตาสัมผัสไม่กี่ส่วนก็ตอบได้ว่ารถคันนั้นยี่ห้ออะไร
แม้กระทั่งตอนที่ไปทำงานแจกใบปลิว เขาก็สังเกตและวิเคราะห์พฤติกรรมของคนรับ
ถึงขนาดเคยวัดระยะทางที่คนจะทิ้งใบปลิว
แล้วเอากล่องไปวางตรงนั้นเพื่อไม่ให้กลายเป็นขยะถูกทิ้งอยู่บนพื้น
เขาลองทำแทบทุกอาชีพเท่าที่นึกออกอย่างที่บอกไปตอนต้นโดยไม่ได้สนใจเรื่องค่าตอบแทน
ถึงแม้ในช่วงนั้นเงินของเขาจะเริ่มหมด แต่ภายในจิตใจของเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
และเขาทำทุกอาชีพด้วยความคิด ‘เล็งผลเลิศ’ อยู่เสมอ
ระหว่างทำงานเบื้องหลังที่บริษัทแกรมมี่ เน็กมีโอกาสโผล่ ‘มือ’
และเสียงออกสู่เบื้องหน้ากับการรับบทเป็น ‘งูเหลือม’
ที่คอยสัมภาษณ์ จิกกัด ลับฝีปากกับแขกรับเชิญในรายการ เกมฮอตเพลงฮิต อยู่เสมอ
กระทั่ง ไก่-สมพล ปิยะพงศ์สิริ มองเห็นความสามารถด้านการพูดของเขา
และแนะนำให้ส่งเดโมสมัครเป็นดีเจ จนได้เป็นดีเจในรายการ
สามแยกปากหวาน ของคลื่นวิทยุฮอตเวฟ และได้เห็นหน้าเขาอย่างเป็นทางการครั้งแรกในการเป็น
พิธีกรภาคสนามของรายการเกมวัดดวง
ด้วยทักษะด้านการพูด มีไหวพริบ แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว
และยังมีลูกล่อลูกชน กล้าที่จะแซวคนแบบหนักๆถึงขั้นหยาบคาย
และมีจังหวะทางตลกที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ทำให้เน็กได้รับการยอมรับในฐานะพิธีกรอันดับต้นๆ ของประเทศ
เน็กทำงานอย่างหนักต่อเนื่อง ผ่านงานพิธีกรมากว่า 40 รายการ
ผ่านรายการทุกรูปแบบทั้ง Five Live, เปรี้ยวปาก,
Thailand’s Got Talent,Take Me Out Thailand,
SME ตีแตก, เรื่องเล่าเช้านี้,
Show Me The Money Thailand ฯลฯ
และมีอีกบทบาทคือการเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์
จนเขาเริ่มรู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์และพลังงานบางอย่างในตัวเริ่มหมดไป
จนต้องประกาศหยุดพักงานพิธีกรทั้งหมด
(ยกเว้นที่เป็นสัญญาระยะยาว) เพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับตัวเอง
ประมาณปี 2557 เน็กกลับมาอย่างเต็มตัวอีกครั้งกับ
การเล่นใหญ่ในรายการ Nake and the City
ที่จัดโปรดักชันเต็มสูบ ทำรายการสัมภาษณ์บนรถคอนเทนเนอร์
ขนาดใหญ่ที่วิ่งไปรอบเมืองทางช่องไทยรัฐทีวี
รวมทั้ง Tonight’s The Night ในปี 2559
สุดท้ายเขาก็ต่อสู้กับกระแสการเปลี่ยนแปลง
ของวงการโทรทัศน์ไม่ไหว เขาขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ได้รับบาดเจ็บครั้งใหญ่
แต่ก็ได้เรียนรู้จากบาดแผล
และที่สำคัญคือเขาไม่ยอมแพ้
แม้เวลาจะผ่านไปนานจนอายุนำด้วยเลข 5
แต่น้าเน็กก็ยังเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นคนเดิม
ที่เล็งผลเลิศในทุกอย่าง เขากลับมาคิด
วิเคราะห์แยกแยะถึงข้อผิดพลาด
สิ่งที่ตัวเขายังขาด พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
และกระโดดเข้าสู่สนามคอนเทนต์ออนไลน์อย่างเต็มตัว
เขาเริ่มทำรายการ สำลักข่าวลำสาลีนิวส์, One Night Story,
Sex Must Say
(ช่วงตอบคำถามเรื่องเพศที่เคยอยู่ในสามแยกปากหวาน),
ไม่อดตายรักผู้ชายทำอาหาร ฯลฯ
ลงในเฟซบุ๊กและยูทูบแชนแนล Nanake555
รวมทั้งในช่วงเดือนเมษายน 2562
ในรายการหน้าไมค์กับน้าเน็ก
ที่เริ่มต้นจากให้คนโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
และมีคนมาปรึกษาปัญหาที่เริ่มจริงจังมากขึ้น
โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
แต่กลายเป็นว่านี่คือสิ่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ
ทำให้เขารู้สึกมีความสุขและได้รู้สึกถึงคุณค่า
บางอย่างในตัวเองกลับมาอีกครั้ง
เมื่อก่อนเขาเคยภูมิใจที่ได้ใช้ ‘ปาก’
ล้อเลียนจิกกัดเพื่อสร้างเสียงหัวเราะ
แต่วันนี้เขาสามารถใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมา
ทั้งชีวิตตั้งแต่เป็นเด็กทำอาหาร ล้างรถในปั๊มน้ำมัน
หนังทุกเรื่องที่ดู
หนังสือทุกเล่มที่อ่าน และทุกๆอย่าง
ที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตในการให้คำปรึกษาผู้คนในแทบทุกเรื่อง
ไม่ต้องหัวสี ไม่ต้องปากหมา ไม่ต้องด่าใคร
ใช้แค่ใจเพียงอย่างเดียว
กลายเป็นจุดกำเนิดของรายการ ‘อย่าหาว่าน้าสอน’
ที่เขาจะนั่งนิ่งๆ ตั้งสติ จิบเครื่องดื่ม
(บางครั้งก็หยิบหนังสือมีควันขึ้นมาอ่านแบบไม่มีเหตุผล)
พร้อมกับรับฟังทุกปัญหาของทุกคน ทุกเพศ
ทุกวัยอย่างตั้งใจในทุกคืนวันเสาร์เป็นเวลา 5 ชั่วโมงเต็ม
และทุกๆ ครั้งก็จะมีคนโทรศัพท์เข้ามามากกว่า 30 สาย
พร้อมกับ ‘คุณผู้ทู้บ’
และแฟนเพจเฟซบุ๊กที่มาฟังปัญหาพร้อมกันแบบสดๆ
อีกนับหมื่นคน
สิ่งที่น้าเน็กทำในรายการ อย่าหาว่าน้าสอน
(รวมทั้ง หงี่-เหลา-เป่า-ติ้ว และ คุยต้องรวย)
ไม่ใช่แค่การให้คำปรึกษากับคนที่โทรติด
แต่ทุกๆ คนที่นั่งฟังอยู่ (หรือฟังย้อนหลัง)
ก็ได้รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
ได้รู้ว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลาย
และทุกคนล้วนมีปัญหาที่ต้องเผชิญ
เรื่องที่เคยคิดว่าหนักอาจมีคนเจอหนักกว่า
น้าเน็กได้สร้างสังคมแห่งการปลอบประโลม เยียวยา ให้กำลังใจ
(บางครั้งก็ด่ากันอย่างตรงไปตรงมา)
ให้คนที่มีปัญหารู้ว่ามีคนอีกมากคอยให้กำลังใจ
เขาอยู่จากมุมใดมุมหนึ่งของโลกใบนี้
ล่าสุดรายการ อย่าหาว่าน้าสอน ดำเนินมาถึง EP.21
เท่ากับว่าน้าเน็กนั่งรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษา
มาแล้วประมาณ 700 กว่าปัญหาตลอดระยะเวลา 100 ชั่วโมง
หลายสายเต็มไปด้วยความเศร้า หลายสายฟังแล้วชวนปวดหัว
หลายสายก็สมควรถูกน้าเตือนด้วยถ้อยคำแรงๆ
และตรงไปตรงมา ที่น้าเน็กจะลงท้ายเสมอว่า
“โชคดีที่มึงโทรติด”
ซึ่งเราที่คงไม่มีโอกาสโทรติด
แต่ขอเป็นตัวแทนคนหนึ่งที่ส่งเสียงกลับไปหาว่า
“ขอบคุณที่น้าทำรายการนี้ขึ้นมาเหมือนกัน”