ทีมข่าวหน้าสตรี
31 ธ.ค. 2554 05:45 น.
ที่มา https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/227091
ในชั่วชีวิตของคนเราอาจต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราสามารถเอาชนะตัวเอง และพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างามกว่าที่เคย หลายคนอาจเถียงในใจว่า ของแบบนี้พูดง่ายทำยาก แต่สำหรับคนสู้ชีวิตที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ไม่ว่าจะเจอมรสุมกี่ลูกต่อกี่ลูก ชีวิตนี้ก็ไม่สิ้นหวัง!!
บทเรียนจากวิกฤติชีวิตครั้งใหญ่ที่ถูกพลิกมุมกลับเป็นโอกาส
ได้รับการถ่ายทอดจากความทรงจำของม่ายสาวไฮโซ
“สุชัญญา ธนาลงกรณ์” เป็นครั้งแรก หลังหย่าขาดจากสามีนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ เมื่อปี 2547 แม้เวลาจะผ่านไปนาน 7 ปีเต็ม แต่ร่องรอยของความเจ็บปวดจากวันวานยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เมื่อต้องเอ่ยถึงอดีตสามี ซึ่งเคยร่วมเตียงกันมาถึง 26 ปี...“ยอมรับว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากมีชีวิตคู่ที่ราบรื่น แต่ด้วยความที่เรามีอีโก้ เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ไม่อดทน พอสามีออกนอกลู่นอกทางไปกับคนอื่น ทำให้รับไม่ได้!! ชีวิตนี้ไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องเป็นม่าย เพราะตอนแต่งงาน อายุ 21 ปี สามีก็ดีกับเราทุกอย่าง รู้สึกเหมือนถูกรางวัล ที่หนึ่ง เขารักเรามาก ดูแลเราดีมาก เอาใจทุกอย่าง เป็นเหมือนปาท่องโก๋ตัวติดกันเลย ไปไหนไปด้วยกันตลอด เราเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันและทำธุรกิจร่วมกัน เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกัน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร คือตลอดเวลา 20 กว่าปี เจอกัน 24 ชั่วโมง ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน นั่งรถไปทำงานด้วยกัน โต๊ะทำงานก็ติดกัน กลางวันไปทานข้าวด้วยกัน ตอนเย็น ก็ชวนกันกลับบ้าน กระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนตอนที่เริ่มทำแบรนด์เวอร์ซาเช่ เราแยกออฟฟิศกันทำงาน ตรงนี้กลายเป็นจุดหักเหให้เขาออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย จากที่เคยชื่นชมว่าเราเป็นเมียที่เก่งที่ดี กลายเป็นว่าเราเป็นเมียเผด็จการ คือทำอะไรก็ดูแย่ไปหมด ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว จึงไม่คิดจะรั้งไว้อีก เลยตัดสินใจแยกทางกันอยู่ และมาหย่าขาดกันจริงๆในปี 2547 ถึงทุกวันนี้ก็อโหสิกรรมให้เขาแล้ว ยังเป็นเพื่อนกันได้ ช่วยกันดูแลลูกๆทั้ง 3 คน บอกตามตรงว่ามีความสุขมากกับชีวิตโสดสนิท คิดว่าโชคดีเหลือเกินที่ตัดสินใจลงเอยแบบนี้ จากแต่ก่อนทุ่มเททุกอย่างเพื่อสามีและลูกๆ ทุกวันนี้ได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ทำให้มีเวลาดูแลคุณแม่ใกล้ชิดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ถึงตอนนี้คงไม่กลับไปมีรักใหม่แล้ว เราอยู่บนสวรรค์แล้ว เรื่องอะไรจะตกนรกอีก”
ถ้าจะบอกว่า การบินไทยเป็นองค์กรใหญ่ที่เต็มไปด้วยการเมือง และการแก่งแย่งอำนาจชิงดีชิงเด่น เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้ซึ้งดีเท่ากับอดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตราผลิตภัณฑ์ และสื่อสารการพาณิชย์
ของการบินไทย “รัตนาวลี โลหารชุน” ซึ่งถูกเด้งฟ้าผ่า เพราะพิษการเมือง
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ด้วยข้อหาคอรัปชัน!! หลังใช้เวลาถึง 7 เดือนเต็ม พิสูจน์ความบริสุทธิ์จนเป็นที่ประจักษ์ เมื่อปีที่แล้วเธอตัดสินใจขอเออร์ลี่ รีไทร์ตัวเอง ขณะอายุเพียง 52 ปี เพื่อทุ่มเทให้กับสิ่งที่รัก และทำประโยชน์เพื่อสังคม...“ยอมรับว่าตอนเกิดวิกฤติ ช็อกมาก!! ต้องพยายามตั้งสติ และทบทวนว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เพราะตลอดเวลาที่ทำงานการบินไทยมา 23 ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่เมื่อคิดดูแล้วว่า ความจริงก็คือความจริง จึงไม่กลัวที่จะต่อสู้ ตัดสินใจลุกขึ้นรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงทุกอย่าง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง กว่าจะจบเรื่องก็ใช้เวลาถึง 7 เดือนเต็ม ตำแหน่งนี้ใครๆก็อยากได้ เรานั่งมา 3 ปี ทำงานโปร่งใสตลอด แต่ยังโดนจนได้ พูดถึงเรื่องนี้แล้วไม่อยากโทษใครทั้งนั้น เอาเป็น ว่าทุกอย่างเกิดจากการแก่ง แย่งอำนาจและผลประโยชน์ ทางการเมือง หลังเคลียร์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว พอดีการบินไทยมีโปรแกรมให้พนักงานเออร์ลี่ รีไทร์ได้ จึงตัดสินใจขอเกษียณก่อนอายุเพราะเบื่อเรื่องการเมืองเต็มทน อยากไปดูแลพ่อแม่ให้เต็มที่ ท่านอายุ 90 กว่าปีแล้ว อยู่ที่จังหวัดสงขลา เราเป็นลูกคนเดียวก็ควรทำหน้าที่ อีกอย่างคือ อยากไปทำสิ่งที่รักและฝันไว้ รวมถึงการใช้วิชาความรู้ทำประโยชน์เพื่อสังคม ตอนนี้กำลังสนุกกับการช่วยชาวบ้านทางภาคใต้ พัฒนาผลิตภัณฑ์งานจักสานหญ้ากระจูดให้มีมูลค่าเพิ่มทางการตลาด เพื่อส่งเสริมให้พวกเขามีงานทำ และสามารถเลี้ยงตนเองได้ ทุกวันนี้มีความสุขมาก ที่ได้เป็นผู้ให้ โดยไม่มีผลประโยชน์การเมืองแอบแฝง”
ก็เพราะเป็นหญิงเหล็กสู้ชีวิตอันดับต้นๆ ตลอดชีวิตของ
“คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์” จึงผ่านมรสุมใหญ่มาโชกโชน แต่ละครั้งก็ล้วนให้บทเรียนแตกต่างกันไป ถ้ามรสุมความรักและการเมืองทำให้เธอค้นพบสัจธรรมชีวิต การเกิดมาเป็นลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวคนจีน ซึ่งพ่อรักแต่ลูกผู้ชายและไม่เหลียวแลลูกผู้หญิง คงถือเป็นปมด้อยที่ฝังลึกในจิตใจ ทำให้เธอดิ้นรนไขว่คว้าทุกวิถีทางเพื่อให้เตี่ยเห็นคุณค่า...“เตี่ยเป็นคนจีนหัวโบราณ โล้สำเภาจากเมืองจีนมารับจ้างถีบจักรยานส่งน้ำแข็งและส่งปลาทู ส่วนแม่เป็นลูกเถ้าแก่โรงสีข้าวอยู่สระบุรี ตอนที่เตี่ยขอแม่แต่งงานไม่มีเงินสักบาท จึงเข้าบ่อนเล่นไฮโลได้เงินสินสอดมาสู่ขอแม่ เตี่ยเล่าให้ฟังว่า แต่งงานกันไม่นานแม่ก็ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ทำให้มีเงินก้อนใหญ่มาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เตี่ยมีหน้าที่ติดต่อหาลูกค้า ส่วนแม่จะคุมงานก่อสร้างและคุมเรื่องเงิน ก็ทำจากเล็กๆจนกลายเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่สุดในภาคอีสาน จำได้ว่าชีวิตวัยเด็กไม่เคยลำบากเรื่องเงินทอง แต่ลำบากเรื่องจิตใจ!! “หรีด” มีพี่น้อง 7 คน เป็นชาย 2 หญิง 5 เราเป็นลูกคนที่ 6 มีพี่ชาย 1 คนและน้องชาย 1 คน เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวที่เตี่ยส่งมาเรียนโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯ กับพี่ชายและน้องชาย จึงเห็นข้อเปรียบเทียบชัดเจน คิดดูสิว่าตั้งแต่ ป.5 ถึงจบชั้นมัธยมปลาย เตี่ยไม่เคยมารับที่โรงเรียนเลย ผิดกับพี่ชายและน้องชาย เตี่ยกับแม่ต้องไปรับที่โรงเรียนวชิราวุธทุกอาทิตย์ แล้วพาไปทานข้าว ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจมากที่เตี่ยไม่ดูดำดูดีเลย ทำให้ “หรีด” ฮึดสู้และบอกตัวเองว่า ฉันจะต้องเรียนหนังสือเก่ง ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ และเป็นนักธุรกิจระดับพันล้าน!! พอเรียนจบมัธยมปลายจึงดิ้นรนทุกทางเพื่อขอไปเรียนต่อเมืองนอก หลังเรียนจบเลขาฯจากสิงคโปร์ก็กลับมาทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ และทำงานเป็นเลขาฯคุณกร ทัพพะรังสี ตั้งใจหาประสบการณ์เพื่อมาเปิดบริษัทของตัวเอง ทำอยู่ได้ 4 ปี จึงลาออกมาตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตัวเอง ขณะอายุแค่ 28 ปี ตอนนั้นคิดว่าเตี่ยจะต้องยอมรับเราซะที ปรากฏว่าเตี่ยแอนตี้ หาว่าปีกกล้าขาแข็ง!! ยังดีที่แม่ช่วยให้ยืมรถแทรกเตอร์กับเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ และได้คอนเนกชั่นจาก “คุณกร” ทำให้ได้งานแรก 10 ล้านบาท จากนั้นก็ประมูลได้งานมาเรื่อยๆ แต่ภูมิใจที่สุดคือ ได้ทำนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด งานนี้รวยเลย จากเงินทุนร้อยล้านก็เพิ่มเป็นพันล้านและแสนล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี “หรีด” ต่อยอดมาเป็นล็อบบี้ยิสต์ ให้คำแนะนำนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนที่มาบตาพุด คราวนี้เตี่ยยอมรับเราทันที แม้ลึกๆจะรักลูกชายมากกว่า แต่ก็ฟังเรามากขึ้น มีอะไรก็ให้ทุกคนปรึกษา “หรีด” จนถึงทุกวันนี้ ต้องขอบคุณเตี่ยที่ไม่ประคบประหงมเรา ทำให้เปลี่ยนจากความน้อยใจมาฮึดสู้ และสร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นนักธุรกิจอินเตอร์อย่างทุกวันนี้ หลังแม่เสียชีวิตและพี่ชายคนโตตาย “หรีด” เป็นคนดูแลเตี่ยมาตลอด เตี่ยอายุ 94 ปีแล้ว ในฐานะลูกสาว เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เตี่ยอายุยืนยาวและมีความสุขที่สุด”
วิกฤติชีวิตที่เกิดจากการสูญเสียคนที่เรารักอย่างไม่มีวันกลับมา คงเป็นฝันร้ายที่ยากทำใจสำหรับใครหลายๆคน กว่าจะตื่นขึ้นมาได้ต้องตั้งสติและอาศัยเวลาเป็นเครื่องเยียวยาแผลใจ ถ้ายังจำกันได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ครอบครัวสถาปิตานนท์ต้องสูญเสียสมาชิกทีเดียวถึง 4 คน จากมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างโหดเหี้ยม คร่าชีวิตคนไทยและชาวต่างชาติไปกว่า 5 พันคน ยังไม่นับรวมผู้สูญหายอีก 3 พันคน สำหรับสมาชิกเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ เช่น
“ศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์” ความสูญเสียที่เกิดขึ้นยังคงเป็นบาดแผลฝังลึกยากจะลืมเลือน หวนคิดถึงเมื่อไหร่ก็ต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานใจ...“วิกฤติชีวิตครั้งที่หนักที่สุดคือการพลัดพรากจากพ่อแม่และน้องสาวทั้ง 2 คน ถึงเหตุการณ์จะผ่านไปนาน 7 ปีแล้ว แต่ความรู้สึกยัง ติดอยู่ในใจตลอด เป็นบาดแผลที่ฝังลึกจนถึงทุกวันนี้ ยอมรับว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น จู่ๆความทรงจำช่วงนั้นหายไปเลย ตอนแรกๆที่ยังหาศพไม่เจอ ก็คิดแต่ว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่โลกแทบสลายเมื่อเจอหลักฐานต่างๆที่ยืนยัน ว่าพวกเขาจากไปจริงๆแล้ว พอหาศพเจอคราวนี้ยิ่งช็อกขึ้นไปอีก ได้แต่บอกตัวเองว่า เราต้องมีสติ ต้องปลงให้ได้ หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ชีวิตเปลี่ยนไปเลยจากหน้ามือเป็นหลังมือ รู้สึกว่าชีวิตคนเราก็แค่นี้ ความทะเยอทะยานส่วนบุคคล ที่ไม่ใช่ความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่...จบเลย เพราะไม่มีใครอยู่ชื่นชมสิ่งเหล่านี้กับเราแล้ว!! จะคิดเสมอว่าชีวิตที่เหลืออยู่ ถ้าสามารถช่วยใครได้ก็อยากทำอย่างเต็ม สติปัญญา ทุกวันนี้ยอมรับว่า ยังทำใจไม่ได้ อะไรที่เกี่ยวข้องกับสึนามิ จะไม่กล้ายุ่งเลย เหมือนแผล เป็นที่คาใจอยู่ ต้องปิดสวิตช์ไม่นึกถึง เพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้ปิดตัวเอง ไม่อยากมีสัมพันธ์กับอะไรในระดับลึกซึ้งอีกแล้ว กลัวต้องสูญเสีย เหนื่อยแล้ว ถ้าจะดึงชีวิตใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ขอวางสถานะไว้ห่างๆดีกว่า”
อีกหนึ่งคนดังที่รู้ซึ้งดีถึงพิษสงความเจ็บ ปวดจากการสูญเสียก็คือ “ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล” ออร์แกไนเซอร์คิวทอง ของเมืองไทย ซึ่งสูญเสียคุณแม่กะทันหัน ทั้งๆที่ยังไม่มีโอกาสได้บอกรักแม่ จนกลายเป็นความผิดฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้...“มรสุมชีวิตหนักที่สุดคือตอนคุณแม่เสียชีวิต เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ท่านจากไปอย่างกะทันหัน เพราะไปเจาะนิ่วแล้วไส้ทะลุ น้ำย่อยน้ำดีไหลออกมาหมด นอนไม่มีสติอยู่ในห้องไอซียู 48 วัน รู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ แต่สมัยก่อนเราเอาแต่ทำงานงกๆไม่มีเวลาใกล้ชิดพ่อแม่ พอถึงเทศกาลก็ให้เงิน หรือซื้อของขวัญให้ แต่ไม่เคยได้กอดได้บอกรักแม่สักครั้ง ตอนนั้นตัดสินใจเลยว่าต้องหยุดทำงานทุกอย่าง และจะทุ่มเทเวลาดูแลคุณแม่อย่างดีที่สุด ตลอด 48 วัน ที่ท่านอยู่ในอาการโคม่า เราวิ่งทำบุญวัดโน้นวัดนี้เพื่อให้แม่หายป่วย พอมีเวลาก็จะไหว้พระสวดมนต์อยู่หน้าห้องไอซียู เป็นอย่างนี้ทุกวันจนท่านจากไป ความรู้สึกตอนนั้นเคว้งคว้างบอกไม่ถูก เหมือนขาดที่พึ่งทางใจ หลังจากสูญเสียคุณแม่ ทำให้รู้ว่า พ่อแม่คือพระของลูก เป็นพระในบ้านที่ลูกทุกคนต้องเคารพรักอย่างสูงสุด ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ควรทำดีกับพ่อแม่ให้มากที่สุด จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังเมื่อท่านจากเราไปแล้ว หลังเสียคุณแม่ไปชีวิตก็เปลี่ยน ไปจากเดิมเลย จากที่เป็นคนบ้างาน อยากรวย และอยากได้ข้าวของแพงๆ กลายเป็นคนธรรมะธัมโม ชอบเข้าวัดไหว้พระสวดมนต์และนั่งสมาธิ กับคุณพ่อก็ดูแลสุดฤทธิ์ เรื่องงานเอาไว้ทีหลัง อย่างน้อยก็ดีใจที่เรายังมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของพ่อ กระทั่งท่านเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ทุกวันนี้ขอสะสมบุญไว้เยอะๆ เงินทองของนอกกาย ถึงหาได้มากแค่ไหน ตายไปก็เอาไปไม่ได้”.