Custom Search

Nov 17, 2008

คิดถึงหลวงพ่อปัญญานันทะ (1)


คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ

เสฐียรพงษ์ วรรณปก




ขณะนั่งทำงานอยู่ที่ห้องประชาสัมพันธ์
งานบวชสามเณร
84,000 รูปเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
ที่ตึกรัฐสภา ฟ้าฝนกระหน่ำลงอย่างหนัก
เราอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าตกหนักหรือไม่เพียงใด
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง “พรึบ” ไฟฟ้าดับทั้งตึก
ผมกำลังให้สัมภาษณ์วิทยุคลื่นหนึ่งอยู่
โทรศัพท์ถูกตัดหายไปเฉยๆ

สนทนาค้างไว้แค่นั้น

ก็ไม่นึกว่าจะเป็น “ลาง” อะไรดอกครับ

เพราะหน้านี้เป็นหน้าฝน
ฝนก็ต้องตกเป็นธรรมดา
สักพักลูกศิษย์หลวงพ่อปัญญานันทะคนหนึ่งเข้ามากระซิบว่า

มีข่าวเศร้าคือ หลวงพ่อปัญญานันทะถึงแก่มรณภาพแล้วในเช้านี้

(วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2550) ผมถามว่าเวลาเท่าไหร่ ท่านผู้นั้นบอกเวลา

ผมก็ขนลุก เวลาตรงกับที่เกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าดับ

โทรศัพท์ทุกสายทำงานไม่ได้ นี่ก็มิได้ว่าเป็นลางอะไร

เพราะผมเป็นชาวพุทธที่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่ค่อยสนใจเครื่องราง
ไสยเวท
ไสยศาสตร์อะไร ได้ยินข่าวหลวงพ่อถึงแก่มรณภาพ ผมถึงกับอึ้งไปพักใหญ่

พระพุทธบุตรผู้เป็น “ประทีปส่องทางชีวิต” แก่ชาวพุทธทั้งปวง

ร่วงผล็อยไปอีกรูปแล้วตามกาลเวลา

รู้สึกอาลัยอาวรณ์ในการจากไปของพระเดชพระคุณท่าน

วันนี้ช่างเป็นวันแห่งความเศร้าสร้อยอีกวันหนึ่งจริงๆ

ผมมิได้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ แต่ก็เป็นโดยอัตโนมัติ

มิได้ไปมาหาสู่ท่าน ก็ใกล้ชิดสนิททางใจ

จะว่าไปแล้วผมติดตามงานของหลวงพ่อตั้งแต่ผมเป็นสามเณรเล็กๆ

ตอนนั้นมาจากต่างจังหวัด มาอยู่ที่วัดทองนพคุณ อายุอานามก็ราว 15-16

เข้ามาเมืองกรุงไม่ทันไร ก็ได้รับทราบชื่อเสียงของ
หลวงพ่อปัญญานันทะ

รู้ว่าท่านเป็นนักแสดงธรรมชั้นยอด ก็พยายามตามไปฟัง

ส่วนมากท่านจะมาแสดงปาฐกถาที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ค่อนข้างบ่อย

เพราะมหาวิทยาลัยสงฆ์ (มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย)

มักจะนิมนต์ท่านมาปาฐกถาในโอกาสสำคัญๆ เป็นประจำ

ผมเข้าใจว่า หลวงพ่อปัญญามีความผูกพันกับวัดมหาธาตุมาก

ท่านเคารพนับถือ “หลวงพ่ออาจ” (พระพิมลธรรม ต่อมาคือสมเด็จพระพุฒาจารย์)มาก

ทุกครั้งที่เข้ามากรุงเทพมหานคร

หลวงพ่อปัญญานันทะ
จะมาพักที่วัดมหาธาตุเป็นประจำ

เมื่อจอมพลสฤษดิ์ จอมเผด็จการครองเมือง

แกเป็นโรคคอมมิวนิสต์ขึ้นสมอง

มีผู้ที่อิจฉาริษยาหลวงพ่ออาจเป่าหูว่า

“พระรูปนี้ (หลวงพ่ออาจ) มีพฤติกรรมนิยมคอมมิวนิสต์...”

จอมเผด็จการก็หูผึ่งสั่งจับท่านไปสอบสวน

ขณะเดียวกันการยุแยงตะแคงรั่วจากหมู่มาร

มีทั้งมารหัวดำและมารหัวเกลี้ยง ก็เริ่มขบวนการทำลายเป็นขั้นเป็นตอน

มีเป้าหมายว่า “จะเอาพระพิมลธรรมมาเป็นหลวงตาอาจ

จะเอาหลวงตาอาจมาเป็นทิดอาจ
และเป็นอาชญากรอาจในที่สุด”
ข่าวแผนอุบาทว์รู้ถึงหูหลวงพ่ออาจ ท่านหัวเราะชอบใจ คงคิดว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ไม่นานทุกอย่างก็ดำเนินไปตามแผน ท้ายที่สุดหลวงพ่ออาจก็ถูกจับสึก

ขังคุกสันติบาล (ดีหน่อยไม่ยัดเข้าคุกบางขวาง)

มิตรแท้พิสูจน์ได้เมื่อยามประสบอันตราย ใครต่อใคร ไม่ว่าพระว่าโยม

ต่างหลบกันหมด แม้กระทั่งศิษย์วัดมหาธาตุที่เป็นผู้สนิทจอมพลจอมเผด็จการ

ยังบอกปัดไม่ช่วยเหลือเมื่อมีผู้ไปขอร้องให้บอกความเป็นจริงแก่ท่านจอมพล

เพราะท่านจอมพลย่อมฟัง “กุนซือ” ของท่านมากกว่าคนอื่น

ท่านผู้นั้นพูดว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ผมช่วยไม่ได้”

แต่พระเถระที่ยืนหยัดอยู่ข้างหลวงพ่ออาจคือ
หลวงพ่อปัญญานันทะ

ท่านวิพากษ์วิจารณ์จอมเผด็จการโดยไม่เกรงกลัว

ทำเอาลูกศิษย์ลูกหาใจหวิวๆ ไปตามกัน

นี่คือความประทับใจที่ผมมีต่อหลวงพ่อปัญญานันทะ และหลวงพ่ออาจ

ทั้งๆ ที่ทั้งสองรูปนั้นผมก็ไม่ใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว

แต่ก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับทั้งสองรูปเสมอมาจากศิษย์ใกล้ชิดท่าน

ในฝ่ายหลวงพ่ออาจ ผมก็ได้ “พี่สมพร ประวรรณากร”

พี่ชายของผมมาเล่าให้ฟังเรื่อย เพราะท่านผู้นี้ซาบซึ้งในจริยาของหลวงพ่ออาจมาก

ส่วนท่านปัญญานันทะนั้น ผมก็เก็บข้อมูลจากหนังสือประวัติของท่าน

ที่ศิษย์ใกล้ชิดเขียนเล่าไว้บ้าง จากปาฐกถาที่ท่านแสดงที่เขาพิมพ์เป็นเล่มบ้าง

ไม่รู้สิครับทำไมพระผู้ใหญ่ทั้งสองรูปนี้แจ่มกระจ่างในใจผมเหลือเกิน

และภาพมักปรากฏพร้อมๆ กันด้วย

รูปหนึ่งเป็นพระนักปกครองผู้มีเทคนิควิธีในการปกครองสงฆ์ มองการณ์ไกล

คาดการณ์ทุกอย่างล่วงหน้าได้เป็นช็อตๆ น่าอัศจรรย์

แถมความรู้ในพระธรรมลึกซึ้ง มีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม

และเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ทำการเพื่อความเจริญแก่พระศาสนาชนิดที่คนอื่นตามไม่ทัน

อีกรูปหนึ่งเป็นนักเผยแผ่ชั้นยอด หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก เรียกตามสำนวน

“หลวงตาแพรเยื่อไม้” ว่า “อะไหล่ที่หาไม่ได้” สิ้นท่านแล้วกี่ปีกี่ชาติจะหาพระพุทธสาวก

“ใจเพชร” เช่นนี้ คงยาก ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ทุกถ้อยคำ

ทุกประโยคที่พรั่งพรูจากปากท่าน สละสลวย ไพเราะ ยังกับเจียระไนเรียบร้อยแล้ว

รื่นหู ชูใจ ก่อเกิดปีติปราโมทย์ทุกครั้งที่ผมนั่งฟังปาฐกถาของท่าน

ผมฟังไปก็อัศจรรย์ใจไปด้วย “พระอะไรช่างพูดเก่ง พูดดีอะไรปานนั้น”

“ญาติโยมทั้งหลาย บัดนี้ได้เวลาฟังปาฐกถาธรรมแล้ว...” เสียงเจื้อยแจ้วนี้

พรั่งพรูไม่ขาดสายจนกระทั่งจบ ไม่มีกระแอมกระไอ ไม่มีหยุดพัก

ไม่มีแม้แต่จะหยุดดื่มน้ำแก้กระหาย

ท่านยังคงยืนนิ่ง พูดแสดงธรรมอยู่ในอิริยาบถเดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ

ผู้ฟังนั่งฟังไปหัวร่อไปด้วยความสนุกสนาน

ทั้งๆ ที่ท่านมิได้แสดงสีหน้าตลกอะไรเลย

ท่านตลกในเนื้อหา ตลกหน้าตายครับ ตลกในเนื้อหา

ชนิดที่ชาร์ลี แชปปลิน ก็ทำไม่ได้ เพราะชาร์ลีเคลื่อนไหวกายประกอบด้วย

แต่ในความสนุกสนานก่อปีติปราโมทย์แก่ผู้ฟังนั้น บางครั้งก็สะดุดกึก

ตรึงผู้ฟังได้เช่นกัน

จำได้ว่า ครั้งหนึ่งท่านวิพากษ์แฟชั่นทันสมัยราคาแพงชนิดหนึ่ง

“คนเรานี่ก็แปลก เสื้อผ้าสวยงาม ติดรูปสวยๆ ไม่นิยมใช้

กลับไปใช้รูปสัตว์จิ้งจกติดหน้าอก ถือเป็นของโก้...”

(ความจริงเสื้อตราจระเข้แต่ตัวมันเล็ก

หลวงพ่อมองเป็นจิ้งจก ดีที่ไม่มองเป็นตัวเงินตัวทอง !)

หลวงพ่อเป็นชาวพัทลุง บวชตอนหนุ่มแล้ว เล่าเรียนบาลีสอบได้เปรียญ 4 ประโยค

(ถ้าจำไม่ผิด) ได้แค่นี้ก็มีความรู้สึกว่า ความรู้ปริยัติเพียงประโยค 4 พอแปลบาลีได้

ก็เพียงพอเป็นเครื่องมือค้นคว้าพระไตรปิฎก

นำธรรมะมาย่อขยายให้ญาติโยมแล้ว

ในช่วงหนุ่มๆ ท่านเป็นหนึ่งในพระเณร

(เณรดูเหมือนจะมีท่านเดียวคือ กรุณา กุศลาสัย)

ได้ธุดงค์ตามพระอิตาเลียนนาม “โลกนาถ” มุ่งสู่อินเดีย

แต่ท่านไปถึงพม่าก็กลับ คงมีแต่กรุณา กุศลาสัย

ติดสอยห้อยตามไปผจญภัยในภารตประเทศ

หลวงพ่อพุทธทาสถูกพระโลกนาถชวนด้วย

แต่ท่านปฏิเสธ มาบอกความในใจภายหลังว่า

“ไม่เลื่อมใส เพราะพระฝรั่งรูปนี้ตั้งชื่อเหมือนพระพุทธเจ้า

(นามโลกนาถ เป็นพระนามพระพุทธเจ้า)”

เข้าใจว่าในระหว่างนั้นแหละ

หลวงพ่อปัญญานันทะได้ไปปักหลักแสดงธรรมแข่งหนังอยู่ที่เชียงใหม่

แรกๆ ก็มีผู้มายืนฟังสี่ห้าคน แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ เป็นร้อย

จนกระทั่ง
“โรงหนังแทบต้องปิด” เพราะคนมาฟังพระเทศน์หมด
สถานที่บรรยายธรรมรกๆ ก็เป็นโรงมุงใบตอง ต่อมาเป็นพุทธสถานเชียงใหม่

โดยมีท่านผู้ใจบุญคือ เจ้าชื่น สิโรรส ให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือ

(ข้อมูลนี้ไม่มีใครเล่าให้ฟัง ไม่เคยอ่านจากที่ไหนเป็นเรื่องเป็นราว

เขียนไปตามความรับรู้มัวๆ ผิดถูกขออภัยผู้รู้ด้วย)

หลวงพ่อปัญญานันทะ
เป็นพระแท้ พระที่ยืนหยัดอยู่กับจุดยืนของพระพุทธเจ้า

เทิดทูนพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะที่พึ่งแท้จริง ไม่ไขว้เขว

และก็พร่ำสอนประชาชนให้ยืนอยู่จุดนี้

ปาฐกถาส่วนมากของท่านจะชี้ให้ทำลายความโง่ งมงาย ยึดติดในที่พึ่งภายนอก

เช่น เครื่องรางของขลัง ไม่ว่าเหรียญพระเหรียญเทพ

ที่คนบ้ากันหัวปักหัวปำอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านจะวิพากษ์วิจารณ์ตลอด

ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมว่างั้นเถอะ ท่านถือว่าหน้าที่ของพระคือ

“ชี้ทางสวรรค์ให้ชาวบ้าน” ทางสวรรค์ก็คือ แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง

อยู่ในศีลในธรรม ไม่งมงายในสิ่งไร้สาระ

ผมได้ฟังท่านอาวุโสท่านหนึ่งคือ อาจารย์พิชัย วาศนาส่ง เล่าว่า

ครั้งหนึ่งไปหาหลวงพ่อปัญญานันทะ ตอนลากลับ

ท่านกล่าวว่า
“คุณพิชัย อาตมาไม่ใช่พระขลัง

พระหรือเหรียญอะไรอาตมาก็ไม่มีให้เหมือนพระรูปอื่น

อาตมาขอมอบสิ่งหนึ่งให้คุณพิชัยแขวนไว้ตลอดชีวิต”

อาจารย์พิชัยมองดูมือหลวงพ่อ สงสัยว่าท่านจะหยิบอะไรให้

แต่ก็ไม่มี ท่านกล่าวต่อไปว่า

“คือสัมมาทิฐิ (ความเห็นถูกต้อง)”

นี้แหละจะเป็นประทีปนำทางชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง

ไม่เดินผิดทาง
อาจารย์พิชัยยกมือท่วมศีรษะ น้อมรับ “สัมมาทิฐิ” จากหลวงพ่อ
“แขวนไว้ที่ใจ” ตลอดมาจนบัดนี้ แล้วอาจารย์ก็พูดกับผมว่า
“หลวงพ่อสัมมาทิฐิได้ช่วยให้ผมอยู่รอดอยู่เย็นมาจนบัดนี้” (สาธุ)

นี่คือเทคนิคการสอนธรรมของหลวงพ่อ

ถ้าหลวงพ่อจะแจกพระอยู่บ้าง ก็คงเป็น
“พระสัมมาทิฐิ” นี้เอง
พระอื่น
เหรียญอื่นท่านแจกไม่เป็นครับ
สิ่งหนึ่งที่น่าจะชื่นชม
นอกจากความสามารถในการถ่ายทอดพระธรรมด้วยภาษาง่ายๆ
หาตัวจับยาก ก็คือการประยุกต์พิธีกรรมทางศาสนาให้กะทัดรัด ประหยัด
และได้ประโยชน์ เช่น
พิธีศพ ท่านให้มีพระสวดศพเพียงจบเดียว แทนสี่จบดังปฏิบัติกันทั่วไป
เอาเวลาที่เหลือฟังเทศน์ ให้เจ้าภาพและผู้มาร่วมพิธีศพได้มรณสติ
ได้คติเตือนใจกลับบ้าน “มาเผาผีที่วัดแล้ว ให้เผาผีที่ใจด้วย อย่านำผีกลับบ้าน”
ท่านจะสอนทำนองนี้เสมอ
ชาวพุทธไทยทำอะไรก็ตามประเพณี ตามธรรมเนียม เสียจนเคยชิน
แม้กระทั่งรับศีล ฟังธรรม ก็รับเป็นพิธี ฟังเป็นพิธี ทำๆ ไปอย่างนั้นแหละ
“สาระแห่งพิธีทางศาสนา” จริงๆ อยู่ที่ไหนไม่รู้ ทำไปจนตายก็ไม่ได้อะไร
เพราะทำพอเป็นพิธี
ไหนๆ ก็เลิกพิธีกรรมไม่ได้ ก็ให้ประยุกต์พิธีกรรมให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
นี่คือความตั้งใจของหลวงพ่อ น่าเสียดายว่า ความคิดริเริ่มอย่างนี้
ไม่ได้รับสนองจากคณะสงฆ์ทั่วไป จึงยังคงมีทำอยู่เฉพาะวัดชลประทานฯ
และวัดในสาขาเท่านั้น
สมัยก่อนญาติโยมไปไหว้สังเวชนียสถานที่อินเดีย พากันโกยดินติดตัวมา
(สมัยก่อนเขายังไม่ห้าม) ญาติโยมไทยก็ไปขุดเอาดินกุฏิพระสีวลี (ผู้มีลาภมาก) บ้าง
ดินใต้ต้นโพธิ์ตรัสรู้บ้าง หลวงพ่อมองดูด้วยความสงสาร เปรยๆ ว่า
“โยม เอาดิน ก็ได้แค่ดินนั่นแหละ"
“มาถึงแดนพุทธภูมิแล้ว น่าจะเอาของเบาๆ กว่านี้นะ”
“อะไร พระคุณท่าน ?”
“ความว่างไงโยม เบาจะตายไป”

คิดถึงหลวงพ่อจริงๆ ครับ คงจะต้องเขียนต่ออีกหลายตอน