อานันท์ ปันยารชุน
มติชนออนไลน์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ผมเชื่อมาตลอดว่า บทพิสูจน์ธาตุแท้ของแต่ละคน
คือดูว่าเขาสามารถรับมือและ
ฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากไปได้อย่างไร
ผลพวงจากเหตุการณ์น่าสลดใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะพิสูจน์กับตัวเอง
และชาวโลกให้เห็นถึงธาตุแท้ของ คนไทยที่มีความเข้มแข็ง
มีความมุ่งมั่นที่จะได้มาซึ่งความเป็นธรรม
การส่งเสริมความปรองดองแห่งชาติ
และการสร้างสรรค์สังคมที่รวมทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ในความเป็นชาติ เราได้วนเวียนในวังวนแห่งความโกลาหล
และสับสนวุ่นวายมานาน
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันหายใจลึกๆ
และเรียกสติกลับคืนมา ให้มีความสมดุลและความพอดี
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมาเน้นและ
ส่งเสริมค่านิยมไทยที่สั่งสมมา แต่ช้านาน
ค่านิยมที่ว่านี้คือ ความอดทนอดกลั้น การยึดทางสายกลาง
และความเมตตากรุณา
ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมประจำชาติของเราทั้งสิ้น
เราควรหยุดชี้นิ้วกล่าวหากันอย่างไม่มีสติ
การโยนความผิดใส่กันอย่างที่กำลังนิยมทำกันในขณะนี้
การมีอารมณ์อกุศลเช่นความโกรธแค้นและเกลียดชังมีแต่ความหายนะ
เราจะต้องก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้และเหนือสิ่ง อื่นใดคือ
แสวงหาความจริงให้ได้ การสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างอิสระ
และน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รวมทั้งการดำเนินการตามครรลองของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
จะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป
นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องเร่งกำหนดแนวทางปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติและ สันติภาพที่ยั่งยืน
คนไทยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมพูดคุยหารือกันโดยยอมรับและเคารพใน
จุดแตกต่าง ความสนใจ และค่านิยมของกันและกัน
การยอมรับกันและการสำนึกผิดของทุกฝ่ายสามารถนำไปสู่การให้อภัย
ซึ่งเป็นกุญแจที่แท้จริงที่นำไปสู่การเยียวยาจิตใจ
และความรู้สึกนึกคิดของคนไทยทุกคน
เราจำต้องพยายามรีบปิดช่องว่างทางสังคมที่นับวันมีแต่ลึกและกว้างขึ้นทุกที
โดยต้องมุ่งแก้ไขความยากจนในโครงสร้าง
การกีดกันทางสังคม และความไม่เท่าเทียมกัน
ไม่ว่าเราจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่พอใจของผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยมีน้ำหนัก
เราจึงต้องเร่งกำหนดมาตรการให้ครบถ้วนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ต่อไปนี้
(1) ความไม่สมดุลของการกระจายรายได้
(2) ความสามารถที่ถูกลิดรอน และ
(3) ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงและโอกาส
หากเราเพิกเฉย ไม่ยอมรับ ไม่แก้ไขข้อร้องเรียนเหล่านี้
บาดแผลที่กรีดลึกจากความรุนแรงในประวัติศาสตร์ไทยบทนี้
ก็จะกลายเป็นแผล เปื่อยเน่า
ซึ่งจะยิ่งทำให้ช่องว่างแห่งความแปลกแยกกลาย
เป็นหุบเหวที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอันจะนำไปสู่
ความโกลาหลและความรุนแรงต่อไปอีก
ประเทศของเราได้สูญเสียมากมายในครั้งนี้
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน
ในห้วงที่สำคัญยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ
ถ้าหากในอนาคตเรามองย้อนหลังไป
ก็อาจมองว่าการที่พี่น้องที่ยากจนในชนบทได้มี
สิทธิมีเสียงทางการเมืองมากขึ้นนับเป็นก้าวที่สำคัญ
และขาดไม่ได้ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย
เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับรู้ข้อเรียกร้องที่ชอบธรรม
และรับฟังเสียงของกลุ่มสังคมเหล่านี้
ไม่ว่าในกระบวนการเลือกตั้งหรือกระบวนการตัดสินใจอื่นๆ
ในความเป็นชาติ เราได้ก้าวมาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไป
เหมือนเดิมได้อีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเราทุกคนล้วนมีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของประเทศชาติ
และต้องมีส่วนช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
ขอให้เราจงมาร่วมกันแปรวิกฤตนี้ให้กลายเป็นโอกาส
เพื่อที่จะสร้างฉันทามติใหม่ทางการเมือง ให้มี
“วาระของประชาชน” เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่รวมทุกหมู่เหล่า
สังคมที่มีความเท่าเทียมกัน
และสังคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับคนไทยทุกคน