- http://teetwo.blogspot.com/2009/07/blog-post_1515.html
- http://teetwo.blogspot.com/2019/07/blog-post_14.html
- http://teetwo.blogspot.com/2018/09/blog-post_8.html
- https://teetwo.blogspot.com/2019/07/blog-post_67.html
- https://teetwo.blogspot.com/2019/07/blog-post_29.html
- https://teetwo.blogspot.com/2020/10/blog-post.html
เหนือสิ่งอื่นใด
- เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559
- พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
- The 60th Anniversary Celebrations of his Majesty King Bhumibol Adulyadej's Accession to the Throne
- 63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว ร.๙" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"
- Supreme Artist
- เศรษฐกิจพอเพียง : Sufficiency Economy พ.ศ. ๒๕๖๓
- ทศพิธราชธรรม ๑
- ทศพิธราชธรรม ๒
- ๑๐๐ ปี สวรรคตกาลสมเด็จพระปิยมหาราช
- ร.๙ ทรงห่วงเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน
- พระบรมราโชวาท ร.๙
- "พูดแล้วต้องทํา" พระบรมราโชวาท "ในหลวง ร.๙" ทรงเตือน-ครม.
- ร. ๙ ทรงพระราชทานแก่พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง
- ร.๙ ทรงรับสั่งรมต.ถวายสัตย์ฯ
- ร.๙ ทรงมีพระบรมราโชวาทแก่ตุลาการทหาร
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงป้องกันน้ำท่วม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘
- “ในหลวง ร.๙” ทรงฝากองคมนตรีปลูกฝังคนไทยเอื้อเฟื้อ นึกถึงส่วนรวม
- “ในหลวง ร.๙” เสด็จฯ ทอดพระเนตรดนตรีที่ศิริราช
- "ในหลวง ร.๙" เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์-สะพานภูมิพล 1,2
- ในหลวง ร. ๙ เสด็จฯทอดพระเนตรคอนเสิร์ตแจ๊ส
- ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
- น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ"ในหลวง ร.๙"กับ"ภูมิสารสนเทศ"
- ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.2554 แก่พสกนิกรชาวไทย
- 'ในหลวง ร.๙' ทรงมีพระราชดำรัสให้คนไทย ทำหน้าที่ ไม่ประมาท มีสติ : ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓
- วันฉัตรมงคล (ร.๙)
- ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
- พระราชดำรัสสุดท้าย ในหลวง รัชกาลที่ 9
- ๑๒ สิงหา วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
- "สมเด็จย่า"
- เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์
- อาลัยพระพี่นางฯ
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ โปรดให้นายโคฟี อันนัน เฝ้าถวายรางวัลฯ (๒๕ พ.ค.๔๙)
- "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร" มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์
- พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
- ศิลปาชีพ : ประจักษ์พยานของความรัก ผูกพัน และห่วงใย
- เพลงสรรเสริญพระบารมี
- ชีวิตที่หมุนไปไม่หยุดยั้ง...พระอารมณ์ขันของพระเทพฯ
- ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนฯ
- สมเด็จพระเทพฯ กับการส่งเสริมไอที เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
- สมเด็จพระเทพฯ สนพระทัยเมล็ดพันธุ์ช่วยหล่อเลี้ยงประชากร
- เครือข่ายกาญจนาภิเษก
- สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- ทรงพระเจริญ
- ของขวัญจากก้อนดิน
- ต้นไม้ของพ่อ
- รูปที่มีทุกบ้าน
- นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
- ติโต
- ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙
- พระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ที่ทุกคนพึงอ่าน
- โครงการแก้มลิง
- ทำไมเรารัก "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"
Jul 30, 2021
นินทาประเทศไทย
Jul 28, 2021
Jul 26, 2021
"เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก (Olympic Games Tokyo 2020)
#ทุกความสำเร็จมีที่มา
"ที่ร้องไห้ตอนรับเหรียญ ขณะที่ฟังเพลงชาติ
เพราะนึกถึงความยากความลำบาก และทุกสิ่ง
ที่เราทุ่มเทมากว่าจะถึงวันนี้ ซ้อมเหนื่อยแทบตาย
เตะกับนักกีฬาชาย โดนยำมาตลอด"
"โค้ชเช บอกซ้อมหนักก็ไม่ต้องร้องไห้
เก็บน้ำตามาร้องไห้ด้วยความยินดีในวันที่สำเร็จดีกว่า
ถึงวันนี้ ก็ร้องไห้จริง"
"เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ
ผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองไทยตอนนี้
#เหรียญทองโอลิมปิก 磊
Jul 25, 2021
Jul 24, 2021
Jul 21, 2021
การแสดงปาฐกถาศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ ๒๖ เรื่อง "สานสร้างทางไทย" โดยอาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบประเพณี)
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร
คำว่าครูในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความเป็นครูในแบบที่มีตัวตนอย่างเดียว งานสถาปัตยกรรมไทยไม่ได้มองแค่ปัจจุบัน จะเรียกว่าเป็นงานที่มีต่อเนื่องกันมา มีการวิวัฒนาการมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน ฉะนั้นจึงเป็นศิลปะประจำชาติของไทยเรา ถึงเรียกว่า ‘สถาปัตยกรรมไทย’ ฉะนั้นที่เรียกว่าครู งานที่ยังใช้ประโยชน์มาแต่ดั้งเดิมไม่ว่าจะเหลือแต่ซาก หรืองานสถาปัตย์อยู่ ก็จะเป็นครูทั้งนั้น
ประเทศไทยเราไม่มีตำรา ไม่มีงานที่จดบันทึกเอาไว้แต่โบราณ ฉะนั้นเราจะต้องศึกษาจากก้อนอิฐ จากซากต่างๆ นั่นคือครู แต่ว่าในปัจจุบันที่มีการเรียนการสอนจากครูที่มีตัวตน เป็นผู้ที่นำความรู้ที่ได้จากครูมาสอนศิษย์อีกทีหนึ่ง ฉะนั้นจะเรียกว่าสืบทอดผ่านครู อย่างเช่น กรมพระยานริศ หรือพระพรหมพิจิตร ท่านก็ศึกษาผ่านครูเหมือนกันซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ครูที่มีตัวตนเพียงอย่างเดียว เป็นครูที่เป็นโบราณสถานหรือโบราณวัตถุท่านก็ศึกษา แล้วท่านเอามาสอนลูกศิษย์ต่ออีกที
Jul 13, 2021
ดูให้รู้ (Dohiru) : บุลลีจะหมดไปจากโลกได้หรือไม่ ?
- https://teetwo.blogspot.com/2014/06/blog-post_4.html
- https://teetwo.blogspot.com/2021/05/30-dohiru.html
- https://teetwo.blogspot.com/2021/03/80-dohiru.html
- https://teetwo.blogspot.com/2018/03/blog-post_24.html
- https://teetwo.blogspot.com/2016/09/1.html
- https://teetwo.blogspot.com/2015/03/blog-post_13.html
- https://teetwo.blogspot.com/2021/08/dohiru.html
- https://teetwo.blogspot.com/2021/08/dohiru-2020.html
- https://teetwo.blogspot.com/2022/03/blog-post.html
- https://teetwo.blogspot.com/2022/05/blog-post_15.html
Jul 11, 2021
ทฤษฎีแมลงสาบ (Cockroach Theory)
ทฤษฎีแมลงสาบ (Cockroach Theory)
...อ่านแล้วได้ข้อคิดดีครับ
Jul 8, 2021
บิ๊กจ๊ะ สาธิต กรีกุล
ที่มา http://sakulthaionline.com/magazine/reader/2478
สีสันความสนุกในเกมกีฬา นอกจากผู้เล่นที่มีวิธีการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้ชาญฉลาด คนเชียร์ที่ต่างคอยส่งเสียงให้ผู้ที่ตนชื่นชอบเป็นกำลังสำคัญ อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไปเสียไม่ได้ก็คือ นักพากย์ที่มีความรอบรู้ในเกมกีฬาตรงหน้าและพูดด้วยลีลาที่สนุกสนานเร้าใจให้ติดตามไปจนจบรายการ
“มืออาชีพ” ฉบับนี้ขอพาไปพบกับผู้คร่ำหวอดในวงการนักพากย์กีฬาคนหนึ่งของเมืองไทย แม้คนที่ไม่เคยติดตามหรือเล่นกีฬาจริงจัง ก็เชื่อว่า ต้องเคยได้ยินชื่อของชายไว้หนวดสวมแว่นตาคนนี้อย่างแน่นอน... บิ๊กจ๊ะ-สาธิต กรีกุล
ก่อนจะมาเป็นนักพากย์กีฬาชื่อดังทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งที่ผ่านมาในอดีตของบิ๊กจ๊ะซึ่งส่งผลดีต่ออาชีพการงานทุกวันนี้ก็คือ การเป็นนักอ่าน โดยเฉพาะหนังสือกีฬา
“ตอนเด็กๆ สมัยประถม นอกจากชอบเล่นกีฬาแล้ว ผมจะชอบอ่านหนังสือกีฬาโดยเฉพาะสยามกีฬา เพราะสนใจเกี่ยวกับข้อมูลสถิติต่างๆ จำได้ว่า คุณพ่อเคยนำหนังสือมาวางไว้ที่หัวเตียงในวันเกิดปีหนึ่งเป็นของขวัญที่ท่านซื้อให้ครับ หลังจากนั้นผมก็จะซื้อมาตลอด ซื้อมาตั้งแต่ยังเป็นรายเดือนจนออกมาเป็นรายปักษ์ รายสัปดาห์ และรายวันครับ... อ่านมาเรื่อยจนกระทั่งเรียนจบจากคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ปี ๒๕๒๕ ก็ไปสมัครงานที่บริษัทสยามสปอร์ต จำกัด ช่วงแรกเขาก็ให้ทำเป็นนักข่าว ทำสกู๊ปกีฬา ผมทำอยู่ในส่วนของข่าวกีฬาต่างประเทศ ก็จะมีแปลข่าว เขียนคอลัมน์ด้วย...
หลังจากนั้น ทางสยามสปอร์ตมีรายการ Hotline Star Soccer ที่ออกอากาศทางช่อง ๓ เลยเป็นจุดเชื่อมที่ให้ได้มาทำงานกับทางช่อง ๓ และได้มีโอกาสพากย์การแข่งขันฟุตบอลโลกปี ๑๙๘๖ เป็นงานพากษ์ออกทางโทรทัศน์ครั้งแรกเลยครับจนกระทั่งได้รับการติดต่อจากทางช่อง ๓ ให้พากย์กีฬาด้วย หลังจากทำงานอยู่ ๘ ปี ก็ถูกส่งไปเป็นนักข่าวกีฬาประจำอยู่ที่อังกฤษ ๒ ปี ทำข่าวฟุตบอลเป็นหลัก เดินเข้าออกสนามบอลเพื่อรายงานข่าว เป็นช่วงแรกที่มีการส่งผู้สื่อข่าวคนไทยออกไปทำข่าวต่างประเทศ...
พอกลับมาเมืองไทย ก็มีหลายช่องติดต่อให้ไปทำงานด้วย แต่ก็เลือกมาช่อง ๓ เพราะผมเคยพากย์ที่นี่มาก่อนแล้ว อีกอย่างคือเหมือนเรามาบุกเบิกเสริมทีมพากย์กีฬาให้ช่องด้วย เป็นงานที่ท้าทาย ทำให้มีโอกาสเต็มที่กับงานนี้มากครับ จนถึงวันนี้ก็ทำมาครบ ๓ ทศวรรษพอดีสำหรับการพากย์และครบ ๒๐ ปี สำหรับการเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬา” (ยิ้ม)
พากย์กีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลมาหลายปีจนเป็นที่รู้จัก แต่หลายคนอาจนึกไม่ออกว่า ในการทำงานขณะนั้นต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง บรรยากาศเป็นเช่นไร กูรูคนนี้มีคำตอบ
“จริงๆไม่มีอะไรมากครับ เราเข้าไปนั่งในห้องพากย์เสียง ตรวจเช็คอุปกรณ์เบื้องต้น แต่สำคัญที่สุดคือ เราต้องเตรียมข้อมูลไว้ก่อน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะจำทุกอย่างในสมอง แต่สิ่งที่อยู่ในสมอง ผมคิดว่ามันคืออาวุธเด็ดที่แต่ละคนมีและแตกต่างกันไป เวลาเราอยากพูดถึงนักกีฬาคนนี้ตอนนี้ เราก็หยิบขึ้นมาพูดได้เลย รายชื่อนักฟุตบอลมีกี่คน ชื่ออะไร มีลูกเล่นอย่างไร ตรงจุดนี้ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของนักพากย์ ต้องจำตัวผู้เล่นให้ได้มากที่สุด สังเกตจากลักษณะท่าวิ่ง ตำแหน่งที่เล่น บุคลิกลักษณะท่าทางของผู้เล่น แต่ก็มีที่พากย์ยากคือ ตัวผู้เล่นเป็นที่รู้จักน้อยกับชื่อผู้เล่นออกเสียงยาก นอกจากนี้เวลาพากย์ก็ต้องถ่ายทอดออกมาให้ผสมผสานพอดี ไม่ใช่นั่งอ่าน ถ้าการแข่งขันยังไม่สนุกเท่าไรก็อาจจะต้องสอดแทรกข้อมูลที่เตรียมไว้ แต่ถ้ามีอะไรตื่นเต้นเราก็อิงไปกับเกมด้วย จะเรียกว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ผสมรวมกันก็คงได้ครับ”
นักกีฬาย่อมมีเทคนิคการเล่นของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับนักพากย์กีฬาก็ต้องมีกลเม็ดการทำงานที่มีลูกเล่นลีลาแพรวพราวไม่ต่างกัน
“การพากย์กีฬาฟุตบอล คนดูหวังจะเห็นความสนุกตื่นเต้น ไฮไลท์ที่สุดอยู่ที่การทำประตู แต่นอกเหนือจากการทำประตูแล้ว ก็ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นลูกหวาดเสียว ขณะที่บางคู่จบลงด้วยคะแนน ๐-๐ แต่ในระหว่าง ๙๐ นาทีนั้นมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า น่าตื่นเต้นมาก ซึ่งจะทำให้คนดูสนุกลุ้นไปด้วยหรือไม่นั้นก็อยู่ที่เราพากย์ให้เป็นไปตามเกมนั้นได้หรือเปล่า คือ เกมสนุกเราก็ต้องสนุกไปด้วย เหมือนเป็นผู้ดูที่ต้องเป็นผู้บรรยายไปพร้อมกัน ถ้าเกมฟุตบอลสนุกอยู่แล้ว เราก็ต้องพากย์ให้สนุกตามไปด้วย แต่ก็มีบางครั้งหรือบ่อยครั้งที่เกมไม่สนุก แต่จะทำอย่างไรให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ บางครั้งก็ต้องงัดมุกตลกขำๆมาสอดแทรก หรือดึงข้อมูลที่น่าสนใจมาดึงคนดู อาจต้องพยายามพูดให้เห็นว่า คู่นี้นะ ถ้าใครยิงได้จะเข้ารอบ ใครพลาดก็ตกรอบ ทำให้คนดูลุ้นว่าเดี๋ยวจะต้องมีการยิงประตูแน่ หรือยกตัวอย่างว่า ทีมเอเจอกับทีมบีมาสิบครั้งแล้วแพ้มาตลอดทั้งสิบ แต่เกมนี้ยังไม่แพ้หรือกลายเป็นทีมนำ ก็ต้องพูดให้คนดูรู้สึกว่า เดี๋ยวจะทำลายอาถรรพ์ที่จะต้องแพ้หรือไม่ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือเปล่า...
เดี๋ยวนี้มีพากย์เป็นคู่ด้วย ซึ่งมีข้อดีคือ พอผมพากย์นำ อีกคนก็จะเป็นผู้วิเคราะห์เกม เพิ่มเติมข้อมูลเข้าไป ตัวเราเองก็เหนื่อยน้อยลง ถ้าทำงานคู่กันไปสักพัก คุ้นเคยกันแล้วก็จะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร จะรู้จังหวะกันและจะเข้าใจยอมรับบทบาทกับเนื้อหาของแต่ละคนกันดี...
ส่วนเรื่องน้ำเสียง โทนเสียงก็มีส่วนสำคัญ จังหวะจะโคนในการพูด การมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ช่วงตรงไหนที่ตื่นเต้น สนุกก็ต้องเสียงสนุกตื่นเต้น ตรงไหนเศร้าก็ต้องเสียงนิ่ง ต้องเป็นไปตามที่เห็น ที่ลืมไม่ได้คือ การออกเสียง อักขระคำควบกล้ำเป็นสิ่งสำคัญเวลาเราพูดภาษาไทย ถ้าปล่อยปละละเลยจะไม่เป็นผลดี แต่ก็ใช่ว่าเวลาพากย์จะต้องออกเสียงชัดที่สุด แต่ก็ต้องพูดให้มีออกเสียงควบกล้ำให้ถูก คำไหน ร.เรือ คำไหน ล.ลิง อย่างน้อยที่สุด ก็ฟังดูดีกว่าการพูดไม่มีคำควบกล้ำเลย ซึ่งผมมองว่า ภาษาไทยสละสลวย ต้องพยายามช่วยกันรักษาไว้ ทุกคนควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องในงานของตนเองถ้ามีโอกาสถ่ายทอดออกมา”
บิ๊กจ๊ะบอกว่า ปัญหาที่เกิดจากการพากย์นั้นถือว่ามีเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการเป็นผู้ประกาศข่าวที่อยู่หน้ากล้องสดๆ
“เมื่อก่อน การพากย์จะไม่มีบท พากย์ไปตามที่เราเห็น ตามข้อมูลที่เรามี แต่ก็ต้องให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพด้วยนะครับ แต่การพากย์ในปัจจุบัน จะมีการเข้าช่วงผู้พากย์พูดหน้ากล้องก่อนเริ่มพากย์ ตรงนั้นเราก็ต้องมีข้อมูล รับผิดชอบตัวเองเต็มที่ทั้งสีหน้าและคำพูด บางทีคิวอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็ต้องปรับสีหน้า หรือเวลาอ่านข่าวต้องอ่านตาม script บางครั้งภาพที่ออกหน้าจอสั้นกว่าบทที่เขียน ทำให้ไม่ทันกัน หรือข้อมูลนั้นผิด คนดูมองออก แต่ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะ script ผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งคนอ่านข่าวทุกคนกลัวตรงจุดนี้กันมาก โดยส่วนตัวผมแล้วจะขอตรวจทานแก้ไขถ้ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง”
นักพากย์หนวดงามกล่าวว่า ในชีวิตการทำงานของตนแล้ว มีอยู่ครั้งเดียวที่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เจ้าตัวให้คำจำกัดความไว้ว่า “หลุดโลก” และไม่เคยปรากฏอีกเลย
“เกมนั้นเป็นเกมที่ทีมชาติไทยแข่งกับทีมเกาหลีใต้ในฟุตบอลเอเชียนเกมส์ปี ๑๙๙๘ ไทยเราเป็นเจ้าภาพ แข่งกันที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ไทยเราเหลือผู้เล่นแค่ ๙ คน แล้วสมัยนั้นมีกฎ Golden Gold คือ ใครยิงเข้าก็ชนะไปเลย นัดนั้นผมเป็นผู้พากย์คนเดียวครับ พากย์ในสนามฟุตบอลเลย ปรากฏว่าหลังจาก ดุสิต เฉลิมแสน เขี่ยบอลให้ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ยิงเข้าประตู ซึ่งเป็นลูกที่สวยงามมาก ทำให้เราชนะไป ๒ ต่อ ๑ แฟนบอลทุกคนกระโดดดีใจจนตัวลอย ผมเองขนาดใส่ Head Phone ก็กระโดดขึ้นมาทั้งอย่างนั้น มีอารมณ์ร่วมไปกับกองเชียร์ด้วย เรียกว่าตื่นเต้นดีใจเสียงหลงกันเลยครับ”
การทำงานทุกชนิด หากไม่มีใจรักเสียแล้ว ก็ยากนักที่ผลของงานนั้นจะบรรลุไปได้ดังหวัง บิ๊กจ๊ะระบุว่า งานที่ทำจากใจย่อมให้คุณค่าสูงต่อชีวิต
“การพากย์กีฬา เราต้องมีใจรักและสนใจในเรื่องนี้ก่อน อย่างผมพากย์ฟุตบอล ก็เพราะมีใจรักและสนใจฟุตบอล ตอนเด็กผมเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนด้วยไงครับ ก็ทำให้เรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเล่นกีฬาชนิดนี้ และอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับผู้เล่น กฎ กติกาการเล่น ยิ่งรู้เยอะมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีครับ ถ้าเป็นการพากย์ที่ออกมาในลักษณะที่เรารู้จริง เสียงที่ออกมาก็จะฟังดูเป็นธรรมชาติ มีเท่าไรก็เตรียมมาให้พร้อม แต่สิ่งสำคัญคือ จะถ่ายทอดออกมาอย่างไร บางคนรู้เยอะแต่พูดไม่เก่งก็มี แต่ก็อย่างที่หลายคนพูดกันว่า อาจจะต้องมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง บางคนมีพรสวรรค์มากก็โชคดีไป แต่ผู้ที่มีน้อยก็ต้องอาศัยความพยายามพัฒนาตนเอง เรียนรู้ข้อมูลต่างๆในสิ่งที่จะทำครับ...
ทุกวันนี้ เวลาจะพูดอะไรออกไป ต้องระมัดระวัง สมองเราต้องกลั่นกรองทุกคำพูดที่พูดออกไปและต้องรับผิดชอบไปด้วย นี่คือสิ่งสำคัญ สิ่งที่พูดไปอาจไม่ตรงใจคนทั้งหมด แต่ผมต้องมั่นใจก่อนว่า ภาพที่เราเห็นแล้วพูดออกไปกับสิ่งที่คนดูทางหน้าจอซึ่งส่วนใหญ่มีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๐ ต้องคิดเหมือนเรา ซึ่งถ้าพวกเขาเข้าใจยอมรับสิ่งที่เราพูดไว้ ผมถือว่างานนั้นบรรลุเป้าหมายแล้วครับ”
ลีลาการเล่นที่สนุกสนานตื่นเต้นบนสนามใหญ่ กองเชียร์หลากสีสัน ยังคงเป็นบรรยากาศอันน่าจดจำของผู้ชม เช่นเดียวกับเสียงบรรยายที่เร้าใจ มีข้อมูลและรู้ทิศทาง บ่งบอกถึงการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีของผู้ทำหน้าที่ “นักพากย์กีฬา”
“สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ของการพากย์ คือ การออกเสียงคำควบกล้ำอักขระ ต้องพูดให้ชัดเจน ภาษาไทยเป็นภาษาที่สละสลวย ทุกคนควรใช้ให้ถูกต้องในงานที่ทำ”
(ตีพิมพ์เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๐๑๒)
เกิด 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2502
พื้นเพเป็นชาวจังหวัดภูเก็ต
มีนามปากกา ว่า “บิ๊กจ๊ะ”
จบการศึกษาระดับมัธยมจาก โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
จากนั้นเข้าเรียนที่
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ทว่าต่อมาย้ายไปศึกษา
ในภาควิชาการตลาด
คณะบริหารธุรกิจ
ของวิทยาลัยกรุงเทพ
(ปัจจุบัน คือมหาวิทยาลัย
กรุงเทพ)
เป็นรุ่นที่ 16 เนื่องจากบิดาเป็น
นักธุรกิจ จึงสนับสนุน
ให้ศึกษาในสายนี้
เมื่อจบการศึกษาในปีพ.ศ. 2525
ก็เริ่มงานกับแผนกการค้าระหว่างประเทศ
ธนาคารไทยพาณิชย์
อยู่ระยะหนึ่ง
จากนั้นจึงเข้าทำงานกับ
บริษัท สยามสปอร์ต
ซินดิเคท จำกัด
ด้วยความที่รู้จักกับ ย.โย่ง เอกชัย นพจินดา และ
น้องหนู ธราวุธ นพจินดา
โดยเริ่มจากการเป็นผู้สื่อข่าว นักแปลและคอลัมนิสต์ก่อน
ในปี พ.ศ. 2525
ต่อมาเริ่มงานพากย์กีฬาครั้งแรก คู่กับจักรพันธุ์ ยมจินดา
ในศึกฟุตบอลโลก 1986
ที่เม็กซิโก คู่ระหว่างเยอรมนีตะวันตก กับอุรุกวัย
สาธิตชื่นชอบฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ
โดยทีมที่ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
คือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เอกลักษณ์ประจำตัวของเขาคือ
ไว้หนวดเหนือริมฝีปากมาจนปัจจุบันนี้
โดยได้รับอิทธิพลมาจาก จอร์จ เบสต์ อดีตกองกลาง
ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด,
อัล ปาชิโน ดาราฮอลลีวูด และแบร์รี กิบบ์ นักร้องวงบีจีส์
ทั้งนี้ เขาเคยโกนหนวดมาครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2542
หลังจากประกาศไว้หากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
สามารถชนะเลิศฟุตบอล 3 รายการใหญ่ คือพรีเมียร์ลีก,
เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
นอกจากนั้นยังประกาศอีกว่าจะโกนหนวดออกตลอดชีวิต
หากทีมชาติไทย ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก
ปัจจุบันสาธิตเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬา
และผู้บรรยายกีฬาทางช่อง 3 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534),
ผู้บรรยายกีฬาทางซีทีเอชและทรูวิชันส์
รวมถึงเป็นพิธีกรประจำรายการ บิ๊กจ๊ะ เจาะกีฬา
ซึ่งออกอากาศสด ในทุกคืนวันจันทร์ เวลา
21:00 - 22:00 น. ทางช่องสยามสปอร์ตนิวส์
ทรูวิชันส์ช่อง 114
และปัจจุบันรายการนี้ได้ออกอากาศเป็นบันทึกเทป
ในทุกคืนวันจันทร์ เวลา 20:30 - 21:00 น.
ทางช่องทีสปอร์ตส์ แชนแนล
Jul 4, 2021
4 ก.ค. 2564 ถวายพระพร สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
โบราณนานมา
"...หวังว่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทย ตอนนี้เราโดนโควิดเอามาก ๆ เลย ถ้าเราไม่แก้ไขตอนนี้ เกรงว่า คนไทยจะได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่านี้ หนูก็ขอร้องทุกท่านให้ทำการรักษา ทำการป้องกัน อย่างที่ให้เต็มอัตรา แล้วหนูจะคอยฟังผลว่าที่หนูให้ไปนี้ จะได้รับประโยชน์จากมันอย่างไรบ้าง..."
พระดำรัสของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ในโอกาสที่พระราชทานวัคซีนซิโนฟาร์ม เพื่อนำไปจัดสรรกระจายฉีดให้แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ที่มีรายได้น้อย และชุมชนในพื้นที่เสี่ยง เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
น้ำ ปริษา ปานะนนท์
ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพ อดีตดาราดังยุค 90 ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 2 ยังจำกันได้ไหม
ที่มา https://women.kapook.com/view243411.html
กลายเป็นไวรัลดังบนโลกออนไลน์ไปแล้วตอนนี้
ชาวเน็ตให้ความสนใจภาพในอดีตของ น้ำ ปริษา ปานะนนท์
อดีตดาราเบอร์ต้น ๆ ยุค 90 ที่ใคร ๆ คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีจาก
โฆษณาดังจาก เมืองไทยประกันชีวิต หลงใหลในความสวยออร่ากัน
ทั้งโซเชียลและปัจจุบันยังคงดูสวยเหมือนเดิม
เปิดบ้านแห่งรักของ “ปริษา ปานะนนท์ – ภูเดษ จันทรางกูร”
Jul 1, 2021
กำพล วัชรพล (2462 - 2539)
(27 ธันวาคม พ.ศ. 2462 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539)
ผู้ก่อตั้ง
-หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ,
-ข่าวภาพ,
-เสียงอ่างทอง และ
-มูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
อีกทั้งยังเป็น ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐคนแรก
ประวัติ
นายกำพล วัชรพล เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม
ที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรคนที่สี่ (คนสุดท้อง)
ของนายหลี และ นางทองเพียร มีพี่น้องร่วมมารดา 3 คน คือ
นางนกแก้ว ทรัพย์สมบูรณ์,
นายสยม จงใจหาญ และ
นายวิมล ยิ้มละมัย
นายกำพล จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน
และไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อ เนื่องจาก
มารดามีอาชีพค้าข้าวเรือเร่ จำเป็นต้องพาลูกขึ้นเรือล่องไป
ตามแม่น้ำสายต่างๆ คือ
แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และ แม่น้ำแม่กลอง
และใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเรือ
การงาน
ราวปี พ.ศ. 2477 เมื่ออายุได้ 15 ปี นายกำพล
เริ่มต้นการทำงานของตนเอง
โดยเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสาร เรือเมล์ปล่องเขียว
วิงระหว่าง ประตูน้ำอ่างทอง ถึง ประตูน้ำภาษีเจริญ
ระหว่างนั้นได้คบหาเป็นเพื่อนสนิท กับ นายวสันต์ ชูสกุล
ต่อมา เมื่อนายกำพลสอบเป็นนายท้ายเรือได้
ก็เข้าทำงานเป็นนายท้ายเรือ ชื่อ “พันธุ์ทิพย์”
โดยมีนายวสันต์ เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสาร
เมื่อปี พ.ศ. 2483 นายกำพล เข้ารับราชการทหารเรือ
โดยเริ่มจากเข้าศึกษาที่ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ
จังหวัดสมุทรปราการ
ต่อมา ได้บรรจุเข้าประจำเรือหลวงสีชัง
นอกจากนี้ นายกำพล ยังได้เข้าร่วมรบ
ในราชการสงครามครั้งใหญ่ 2 ครั้ง คือ สงครามอินโดจีน
ในกรณีพิพาทระหว่างเขตแดนของไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส
และ สงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2)
ในยุทธภูมิครั้งหลังนี้ ส่งผลให้ นายกำพล
ได้รับพระราชทาน “เหรียญชัยสมรภูมิ” เหรียญกล้าหาญ
และได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็น จ่าโท
จากนั้น นายกำพล ได้ลาออกจากราชการ
ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เมื่ออายุ 28 ปี
งานหนังสือพิมพ์
ราวเดือน มีนาคม พ.ศ. 2490 นายกำพล ได้เข้าทำงานเป็นผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์หลักไทย ในสมัยที่
นายเลิศ อัศเวศน์ เป็นบรรณาธิการ อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง
ระหว่างนั้นได้ถูกทดสอบให้เป็นพนักงานหาโฆษณา
ไปพร้อมกันด้วย
ต่อมา นายกำพล ได้ชวน นายเลิศ และ นายวสันต์
ออกหนังสือฉบับพิเศษ ชื่อ “นรกใต้ดินไทย”
ที่นายเลิศเขียนเป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์หลักไทย โดยใช้เงินลงทุน จำนวน 2,000 บาท
ที่มาจากทุนส่วนตัว รวมกับการหยิบยืม เมื่อพิมพ์จำหน่าย หักกลบลบหนี้แล้ว
แบ่งเงินกันเป็นสามส่วน นายกำพลยังมีเงินเหลือไว้เป็นกองกลางอีก 6,000 บาท
จากนั้น นายกำพล ปรึกษากับ นายเลิศ และ นายวสันต์ ว่า น่าจะออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์สักฉบับหนึ่ง
จึงไปจดทะเบียนหนังสือพิมพ์ กับกองบัญชาการตำรวจสันติบาล
ใช้ชื่อว่า “ข่าวภาพ” รายสัปดาห์ โดยใช้ตราเป็นรูป กล้องถ่ายภาพ สายฟ้า และ ฟันเฟือง
ซ้อนกันอยู่ในวงกลม เป็นสัญลักษณ์ของหนังสือพิมพ์ที่นายกำพลเป็นเจ้าของตลอดมา
อุปสมบทในระหว่างทำหนังสือพิมพ์ “ข่าวภาพ” รายวัน นายกำพลได้เข้าอุปสมบท
ที่วัดลาดบัวขาว ถนนตก กรุงเทพมหานคร โดยมอบหมายให้ นางประณีตศิลป์ ภรรยา
และ นายวสันต์ ร่วมกันบริหาร และเมื่อลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ามาบริหาร หนังสือพิมพ์ “ข่าวภาพ” ต่อไป
ข่าวภาพ → เสียงอ่างทอง → ไทยรัฐ
เกียรติยศ
ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2516,
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ
สมาชิกวุฒิสภา 3 สมัยติดต่อกัน
ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุด
ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก เมื่อ พ.ศ. 2533
ได้รับพระราชทาน เหรียญกาชาดสรรเสริญ ชั้นที่ 1
หนังสือ “เปเปอร์ ไทเกอร์ส” (Paper Tigers)
ที่เขียนโดย นายนิโคลัส โคลริดจ์ นักเขียน และ
นักหนังสือพิมพ์ ชาวอังกฤษ
กล่าวชื่นชม นายกำพล ไว้ในบทความเรื่อง
“25 คนหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
พร้อมวิถีทางแห่งชัยชนะ”
หนังสือ “ฮู’ ส ฮู อิน เดอะ เวิร์ลด์”
(Who’s Who in the World)
ที่จัดพิมพ์โดย บริษัท คิงส์ พอร์ท รัฐเทนเนสซี
สหรัฐอเมริกา ฉบับปี ค.ศ. 1976-1977
ได้นำประวัติของนายกำพลไปตีพิมพ์ พร้อมกันนี้
ได้มอบเกียรติบัตรในนามของคณะกรรมการการพิมพ์
มาร์ควิส อีกด้วย
นิตยสาร “อินเวสเตอร์” รายเดือน ภาษาอังกฤษ
ฉบับประจำเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2512 ได้กล่าวยกย่อง
นายกำพล ในบทความเศรษฐกิจเรื่อง
“กำพล วัชรพล: ลอร์ด ทอมสัน แห่งประเทศไทย”
มูลนิธิหนังสือพิมพ์แห่งเอเชีย ที่มีสำนักงานใหญ่
อยู่ใน กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ได้เชิญ
นายกำพล ให้ร่วมเป็น กรรมการบริหารมูลนิธิดังกล่าว
วิสัยทัศน์
นายกำพล เป็นคนแรก ที่ตั้งอาคารริมถนนวิภาวดีรังสิต (ตั้งแต่ยังเป็น ถนนกรุงเทพฯ-สระบุรี)
เป็นการย้ายสำนักงานหนังสือพิมพ์ออกสู่ชานเมืองเป็นฉบับแรก
ส่งผลให้มีสำนักงานหนังสือพิมพ์ย้ายมาอยู่บนถนนสายนี้ อีกไม่น้อยกว่า 5 ฉบับ
นายกำพล ยังเป็นผู้บุกเบิกในด้านเทคโนโลยีการผลิตหนังสือพิมพ์หลายอย่าง
เช่น เครื่องพิมพ์ ระบบเรียงพิมพ์ การจัดจำหน่ายด้วยตนเอง เป็นต้น
มูลนิธิไทยรัฐ
โรงเรียนไทยรัฐวิทยา
ครอบครัว
นายกำพล สมรสกับ คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล
(นามสกุลเดิม ทุมมานนท์) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2493 มีบุตร-ธิดา รวม 3 คน คือ
-นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล,
-นายสราวุธ วัชรพล และ
-นางอินทิรา วัชรพล
นอกจากนี้ นายกำพล ยังมีบุตร-ธิดา กับภรรยาอื่นอีก 5 คน คือ
-นายฟูศักดิ์ วัชรพล,
-นางนำพร วัชรพล,
-นายเกรียงศักดิ์ วัชรพล,
-นายพีระพงษ์ วัชรพล
-นางเพ็ชรากรณ์ วัชรพล
อนิจกรรม
นายกำพล เข้ารับการตรวจรักษาทั่วไปเป็นครั้งแรก
ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2538
เนื่องจากมีอาการอึดอัดแน่นท้อง คณะแพทย์ตรวจพบเนื้องอกที่ไต
และได้เข้าผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้งถึง 2 ครั้ง แต่อาการกลับทรุดลงตามลำดับ
จนถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ เมื่อเวลา 01.45 น.
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539
ขณะมีอายุ 76 ปี 1 เดือน 25 วัน