เรื่อง > วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ภาพ > ปวีณา วะน้ำค้าง
ช่วงสายของวันที่ฟ้าครึ้ม แดดอ่อน ผมมายืนอยู่ในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งตัวเองอยู่บนชั้นห้าของสตูดิโอขนาดใหญ่ สมาชิกในบ้านหลังนี้รับทำงานด้านแอนิเมชั่น คอมพิวเตอร์กราฟิก ทั้งในงานภาพยนตร์ และโฆษณา
ด้วยบรรยากาศภายในบ้านหลังนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่คือบ้านจริงๆ ผู้คนที่อยู่บนชั้นห้าแห่งนี้ต่างแต่งตัวสบายๆ บ้างใส่กางเกงขาสั้นพรางเขียวในแบบของทหาร บ้างเดินเท้าเปล่าบนพื้นพรมนุ่ม บ้างนั่งโขกหมากรุก ผมได้ยินจากเจ้าของบ้านมาว่า เร็วๆ นี้จะซื้อโต๊ะบิลเลียดอีกด้วย
บ้านหลังนี้มีชื่อเรียกว่า ‘บ้านอิทธิฤทธิ์’
ผมเดินตามหลังชายที่เดินนำหน้าขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานซึ่งถูกยกสูงขึ้นบนชั้นลอย ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสีน้ำมันและผืนผ้าใบเป็นเหมือนอาวุธข้างกาย ถึงวันนี้มีบางสิ่งเปลี่ยนไปบ้าง ก็ตรงที่อาวุธข้างกายนั้นได้เปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำงานแอนิเมชั่น แต่สิ่งที่ยังคงยืนหยัดไม่เปลี่ยนแปลงเห็นจะเป็นจินตนาการซึ่งเขายังคงได้ใช้มันอยู่เสมอ เขาหยุดยืนเมื่อเท้าเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายก่อนจะบิดลูกบิด
เขาปิดประตูหลังจากที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงาน ภายในห้องดูว่างโล่ง
“พอดีผมเพิ่งย้ายออฟฟิศเข้ามาที่เวิร์คฯ ใหญ่” เขาหมายถึงการย้ายออฟฟิศของ ‘บ้านอิทธิฤทธิ์’ เข้ามาอยู่ชายคาเดียวกับเวิร์คพ้อยท์สตูดิโอ ภายในห้องจึงมีเพียงจอคอมพิวเตอร์วางบนโต๊ะทำงาน หน้ากากโมเดลของฮีโร่ไทยอย่าง ‘มนุษย์เหล็กไหล’ ที่เขาเป็นคนออกแบบคาแร็กเตอร์ให้ยังคงวางซ้อนกับสิ่งของอื่นๆ ในลังกระดาษ ข้าวของบางอย่างยังคงยืนเก้ๆ กังๆ รอคอยเจ้าของจัดระบบเรียบร้อยแก่มัน
ที่ผนังห้องด้านหลังโต๊ะทำงานมีภาพของชายคนหนึ่งในกรอบไม้วางพิงอยู่ ชายในภาพมีหน้าตาออกไปทางตะวันตก
แต่ชายคนนี้กลับถูกเรียกด้วยชื่อไทยๆว่า ‘ศิลป์ พีระศรี’ ชายในภาพมีแววตาครุ่นคิด ซึ่งระดับของสายตามองไปยังเขาซึ่งนั่งหันหลังให้กรอบภาพหันหน้าเข้าหาโต๊ะทำงาน เร็วๆ นี้ ‘เอ็กซ์-ชัยพร พานิชรุทติวงศ์’ เสาหลักของบ้านแห่งนี้-บ้านอิทธิฤทธิ์ กำลังจะได้ทำโปรเจ็กต์ใหญ่กับทาง ‘Cartoon Network Asia’
โดยการร่วมกันพัฒนาภาพยนตร์แอนิเมชั่นเพื่อปรากฏแก่สายตาคนทั่วโลก ซึ่งการ์ตูนตัวนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันรายการ ‘Snaptoons’ โดยมีเขาเป็นคนออกแบบคาแร็กเตอร์และบท โดยที่ ‘บ้านอิทธิฤทธิ์’ จะทำในส่วนของโปรดักชั่น
“ตอนนี้บทกับคาแร็กเตอร์ของผมผ่านแล้ว”
ชัยพรใส่อุปนิสัยให้ตัวการ์ตูนตัวนี้พูดน้อย นิ่งๆ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ขณะที่การ์ตูนของชาวตะวันตกส่วนใหญ่จะมีลักษณะกระตือรือร้นจนถึงขั้นโอเวอร์แบบการ์ตูนทั่วๆ ไป
โจทย์ที่ท้าทายสำหรับคนทำแอนิเมชั่นอย่างชัยพรคือการทำการ์ตูนของคนตะวันออกให้คนตะวันตกหัวเราะให้ได้-เพราะนั่นหมายถึงการยอมรับ
ข้อแนะนำจากชาวต่างชาติถึงตัวการ์ตูนของเขา ซึ่งชัยพรถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะชาวต่างชาติจะชอบตลกแบบโผงผาง ขณะที่เขาชอบตลกเงียบ
“ตอนนี้กำลังมิกซ์กันอยู่ เขาอยากรู้ว่าตลกเงียบมันเป็นไง เราก็เขียนสตอรี่บอร์ดส่งไปแล้ว ซึ่งความรู้สึกเรามันตลก แต่ยังไม่รู้ผลว่ามันจะตลกหรือเปล่า (หัวเราะ)
“มันจะตลกนิ่งๆ เช่น มีคนมาด่ามัน เอาของมาปาบ้านมันจนบ้านระเบิด แต่ไอ้ตัวนี้ยังยืนงงอยู่เลย แล้วทิ้งเวลาไว้สักพักหนึ่ง มันก็จะบอกว่า ‘มึงทำอะไรกูวะ’”
“คาแร็กเตอร์การ์ตูนตัวนี้มีความเป็นไทยหรือเอเชียมากกว่ากัน”
“ผมให้น้ำหนักไปทางเอเชียก่อน เพราะผมรู้สึกว่าการ์ตูนไทยมันยังไม่ชัด ไม่เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น หรือยุโรป การ์ตูนอย่างเกาหลีก็ยังไม่ชัด มันยังเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นเชยๆ ในสมัยก่อนอยู่ แต่ข้อดีคือการ์ตูนพวกนี้มันมีพัฒนาการต่อเนื่อง ถ้าการ์ตูนไทยหาจุดเริ่มต้นเจอมันก็จะมีลำดับพัฒนาการไปสู่ความชัดเจนเอง เหมือนอย่างการ์ตูนเกาหลีตอนนี้ซึ่งกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ
“คาแร็กเตอร์ของไทยจะติดอยู่ที่ภาพเด็กหัวจุก หรือผ้าสไบ แต่จริงๆ คาแร็กเตอร์เอเชียมีความเป็นสากล เหมือนมิยาซากิ* ทำเรื่อง SPIRITED AWAY คือใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา แต่มันมีบางอย่างที่เราสามารถจะสื่อได้ เช่น ลูกตา โครงหน้า มันไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกายอย่างเดียว ผมจะไม่ใช้วัฒนธรรมการแต่งกายเป็นตัวบอก และก็ไม่เอาวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาด้วย จริงๆ คาแร็กเตอร์ไทยกับคาแร็กเตอร์เอเชียมันก็คือตระกูลเดียวกัน มันเป็นเซนส์ของคนเขียน เราเอาวัฒนธรรมข้างในของเราใส่ลงไป”
วัฒนธรรมของสี-ลองย้อนกลับในสมัยภาพยนตร์ไทยยุคสรพงศ์ ชาตรี ภาพจะมีโทนสีเขียวๆ เหลืองๆ เพราะนั่นเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนและมีแดดจัดๆ ของประเทศไทย ขณะที่หนังฮอลลีวูดหรือยุโรปจะมีโทนสีฟ้าๆ หรือน้ำเงิน เพราะมีสภาพอากาศหนาวเย็น เขาบอกว่าคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนก็มาจากบรรยากาศหรือวัฒนธรรมที่คนทำเติบโตมา
“Cartoon Network จะได้อะไร และจะได้อะไรจาก Cartoon Network”
“เขาจะได้การ์ตูนของเราในราคาเอเชีย แล้วเราจะได้เผยแพร่งาน อีกอย่างฝรั่งมันไม่รู้ว่าประเทศไทยมีการทำการ์ตูน (หัวเราะ) สมัยที่ผมเรียนมันถาม เฮ้ ยูขี่ช้างมาหรือเปล่า”
Cartoon Network Asia มีสาขาใหญ่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ชัยพรสงสัยว่าเพราะอะไรการ์ตูนของเขาจึงได้รับคัดเลือกจากทาง Cartoon Network ทั้งๆ ที่การ์ตูนญี่ปุ่นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า คำตอบที่ได้กลับมาคือ การ์ตูนญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว ตลาดต่างประเทศจึงต้องการวัฒนธรรมที่ใหม่กว่าญี่ปุ่น
“ตอนนี้คาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนของฝรั่งมันอิ่มตัว แล้วการ์ตูนที่ตาโตๆ ใสๆ ฝรั่งมันก็รู้ว่าเป็นญี่ปุ่น แต่เอเชีย หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันไม่เคยรู้เลย มันไม่เคยรู้ว่าการ์ตูนไทยเป็นไง การ์ตูนลาวเป็นไง ปีหน้ามันอาจจะไปหาการ์ตูนของประเทศที่มันไม่เคยรู้เลยก็ได้”
ประตูแห่งโอกาสเริ่มเปิดกว้างขึ้น โอกาสที่วงการแอนิเมชั่นไทยจะได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศก็มีมากขึ้น แต่ในฐานะคนทำงานแอนิเมชั่น เขากลับรู้สึกว่าแอนิเมชั่นไทยกำลังนอนอยู่ในห้องไอซียู…
เขามองว่าอุตสาหกรรมของแอนิเมชั่นไทยยังไม่มีความต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยของเรื่องเงินทุนการผลิต ซึ่งการ์ตูนแอนิเมชั่นหนึ่งเรื่องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และคนส่วนใหญ่ยังจำกัดงานแอนิเมชั่นไว้สำหรับเด็ก จึงทำให้เม็ดเงินที่จะลงกับงานด้านนี้ยังถูกตีกรอบให้มีจำนวนที่ไม่มาก ผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดคือรอยต่อของระยะเวลาที่ยาวนาน ระหว่างภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยเรื่องหนึ่งกับอีกเรื่องหนึ่ง
“เราได้ดูสุดสาครแต่ต้องรออีกยี่สิบปีกว่าจะได้ดูก้านกล้วย ผมก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะมีเรื่องไหนสร้างออกมาอีก อุตสาหกรรมมันไม่ต่อเนื่อง พออุตสาหกรรมมันไม่ต่อเนื่องก็ตายหมด"
“ค่าใช้จ่ายสูงมากต่อแอนิเมเตอร์หนึ่งคน การทำแอนิเมชั่นมันคิดเป็นวินาที ราคาจึงแพงมาก คนคิดว่าการ์ตูนต้องเป็นของเด็ก เราต้องสลัดไอ้คำว่าการ์ตูนของเด็กออกไปก่อน คือของเด็กมันก็ต้องถูก เด็กดูผ่านอยู่แล้ว Quality มันก็ต้องต่ำ ยิ่ง Quality ต่ำบริษัทไหนใช้เวลาผลิตน้อยก็กำไร คนทำจึงต้องทำให้เต็มที่เลย ตั้งใจทำจริงๆ เคลื่อนไหวไปอย่าทำแล้วคิดว่าต้องให้ประเทศไทยดูอย่างเดียว ต้องออกต่างประเทศด้วย”
ชัยพรเปรียบอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นกับอุตสาหกรรมเสื้อผ้า หากผลิตเสื้อผ้าได้ในปริมาณที่มาก และต่อเนื่อง ตลาดย่อมให้ความสนใจ นอกจากเรื่องเงินทุนในการผลิตแล้วยังมีปัญหาแรงงาน หรือแอนิเมเตอร์ที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องเงินทุนอย่างแกะกันไม่ออก
“อย่างของ ‘พิกซาร์’ เนี่ยใช้เวลาทำแต่ละเรื่องสามถึงสี่ปี แต่ในช่วงที่ ‘พิกซาร์’ ทำสามถึงสี่ปีอยู่ก็จะมีบริษัทของ ‘ดรีมเวิร์คส์’ หรือ ‘พีดีไอ’ ออกฉายไง เพราะมันมีอุตสาหกรรมจริงๆ มันก็เลยต่อเนื่อง ก็มีให้ดูทุก 3 เดือน ค่ายนี้ไม่ทำก็มีอีกค่ายทำ”
ความเงียบเข้ามาทำลายบทสนทนาของเรา ผมเหลือบไปเห็นแมลงวันตัวหนึ่งพร้อมได้ยินเสียงปีกของมันบินหวี่ๆ
“ถ้าเปรียบวงการแอนิเมชั่นไทยเป็นวงจรแมลง ถือว่าอยู่ช่วงไหน” เสียงใครคนหนึ่งในวงสนทนาดังแทรกขึ้นมากลบเสียงกระพือปีกของแมลงวัน
“ยังไม่ผสมพันธุ์เลย (หัวเราะ) มันมีระดับหนึ่งแต่มันก็ตายไง มันเหมือนแมลง คือมันอยู่
ไม่นาน ตายแล้วก็เกิดใหม่ อยากให้มันเป็นแมลงที่มีชีวิตยืนกว่านี้ มันมีปัจจัยหลายอย่าง เค้กมันก้อนเล็กด้วย”
วงจรชีวิตของแมลงสั้นแสนสั้น!!!
แมลงวันตัวนั้นยังคงบินรอบๆ วงสนทนา เที่ยงกว่าๆ แล้ว ผมเริ่มรู้สึกหิว ขณะที่เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“แต่มันก็มีข้อดีอยู่นะไอ้ที่ว่าแอนิเมชั่นกำลังจะตาย เพราะมันจะต้องพัฒนางานออกมาให้ได้ให้ดีขึ้น เพื่อให้มันสามารถอยู่รอดให้ได้” เขาวางแก้วน้ำหลังจากพูดจบ
หลังจากเรียนจบที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ชัยพรเข้าทำงานประจำที่อมรินทร์พริ้นติ้ง แต่หลังจากที่เขาเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ระหว่างที่ดูหนังตัวอย่างเขาเกิดภาวะตกใจเมื่อได้ดูทีเซอร์ภาพยนตร์เรื่อง ‘Lion King’ รุ่งขึ้นชัยพรไปยื่นใบลาออก แล้วบอกแม่ว่าจะไปเรียนต่อ
“มันเป็น 2D ที่แบนๆ แต่เคลื่อนไหวได้ขนาดนั้น มันเป็นภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน โอ้โห ช้างเดินจะเหยียบนก นกกระโดดหลบ หรือปรับโฟกัสมดอยู่บนต้นไม้แล้วมาปรับม้าลายอยู่บนพื้น เราคิดว่ามันเกินกฎของ 2D ไง ตอนนั้นประสบการณ์ยังน้อยอยู่ด้วยแล้วตกใจมาก ตอนนั้นอยู่ในโรงหนังมันตกใจมากเหมือนจะร้องไห้ มันไม่รู้จะทำไง ไม่รู้จะทำไง”
ชัยพรเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเรียนต่อในด้านแอนิเมชั่น เขาไปโดยที่ภูมิคุ้มกันทางภาษาไม่แข็งแรง เขาต้องปีนกำแพงภาษาอยู่นานกว่าจะหายใจได้สะดวก ที่นั่นเขาเลือกที่จะตัดทางรอดทั้งหมดของตัวเองออก เพื่อให้ชีวิตสุ่มเสี่ยงกับความไม่รอด เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้
“ไปมหา’ลัยก็เลี่ยงที่จะไม่พูดกับคนไทย โชคดีที่ว่าพอเข้ามหา’ลัยก็ลูกมั่วไปได้งานที่บริษัทเกม ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ถ้างานคุณไม่ผ่าน ภาษาไม่ได้ สองอาทิตย์ยูต้องออก เราก็ต้องรู้เรื่อง ต้องดิ้นรน ก็มันจะตายแล้วไง” (หัวเราะ)
ด้วยความไม่สันทัดทางภาษาของเขาทำให้เกิดเรื่องสนุกๆ ในคลาสเรียนวิชาแอนิเมชั่น เขาเล่าว่าในหนังฝรั่งเวลาพระเอกตกใจมักจะอุทานออกมาว่า “SHIT” เมื่อเข้าไปเรียนคาบแรกศาสตราจารย์ท่านหนึ่งกำลังสอนท่าทางของตัวการ์ตูนอย่างสนุก โดยที่ศาสตราจารย์ท่านนั้นปีนบันไดขึ้นไปเพื่อแสดงอิริยาบถต่างๆ ของตัวการ์ตูน ชัยพรกำลังสเกตช์ภาพในกระดาษอย่างตั้งใจ ขณะที่กำลังสเกตช์ภาพอยู่นั้น กระดาษบนโต๊ะเกิดหล่นลงพื้น เขาอุทานออกมาว่า “SHIT” ความเงียบจึงปกคลุมชั้นเรียนนั้นอย่างกะทันหัน ทุกสายตามองมายังต้นเสียง ศาสตราจารย์ได้แต่ค้างเติ่งบนความสูงของบันไดด้วยท่าทางน่ารักๆ อย่างตัวการ์ตูน
หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้าน Digital Art & Design จาก University of Oregon โดยมีเกียรตินิยมอันดับ 1 ตามท้ายมาด้วย เขาเข้าทำงานในด้านแอนิเมชั่น คอมพิวเตอร์ CD (Director and Character Designer) กับบริษัท ANIMATION TV & INTERNET BROADCAST ที่นิวยอร์ก จากนั้นกลับมาเมืองไทยด้วยคำสั่งของพ่อและแม่ ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิก ‘คิดถึงลูกชาย’
ปังปอนด์ ดิ แอนิเมชั่น คือผลงานของชัยพรหลังจากกลับมาบ้าน รวมถึงงานด้านคอมพิวเตอร์CG ในภาพยนตร์และในงานโฆษณา และด้วยคำชักชวนของประภาส ชลศรานนท์ และปรัชญา ปิ่นแก้ว ก็ทำให้เขาตัดสินใจสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ ตามด้วยการเป็นหัวหน้าหลักสูตรปริญญาโท สอนด้านแอนิเมชั่นที่สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ปรัชญา 'ไม่รอด เพื่อรอด' มาปรับสอนให้แก่นักศึกษา
“ผมจะบอกนักศึกษาเลยว่าต้องตัดข้อแม้ทั้งหมด คนที่มันจะเก่งขึ้นมาได้มันจะต้องมีหัวข้อจริงกำหนดเอาไว้ไง เด็กที่มหา’ลัยมันก็เหมือนผมช่วงนั้นคือเผางาน คือออกแบบคาแร็กเตอร์มาส่ง มันเพิ่งเขียนมาจากข้างนอก สียังเปียกอยู่เลย มันมาบอกว่านี่ครับมันเป็นคาแร็กเตอร์ที่ผสมกันระหว่างญี่ปุ่นกับฝรั่งครับ คือมันดูออกว่างานมันเผา แต่ถ้าเจ้านายบอกไม่ผ่านต้องทำมาใหม่ส่งวันนี้ด้วย เราก็ต้องทำให้ได้ใช่มั้ย นักศึกษามันมีข้อแม้ เพราะอาจารย์ก็ไม่ได้ล็อกไว้ว่าจะเป็นจะตาย แต่ธุรกิจมันล็อกเราไว้ว่าถ้าเขาไม่จ้าง เราก็ไม่มีกิน มันก็จบ พอคนไม่มีข้อแม้ คนก็ต้องดิ้น ยังไงก็ไม่ตายหรอก”
ชัยพรพาตัวเองและผมกลับไปในสมัยเป็นนักศึกษาผมยาวที่ศิลปากร ผ่านเรื่องราวที่เล่า-เขาก็เหมือนกับนักศึกษาสมัยนี้คือความมีอีโก้ในชิ้นงานของตัวเอง อีโก้ของคนทำงานศิลปะ “พาณิชยศิลป์มันเป็นคำที่ดูไม่ดี คำว่า Sale คำว่าพาณิชย์ แต่จริงๆ มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก มันก็คือการทำศิลปะให้นายทุนซื้อเราไง คือนายทุนเค้าก็รับความเสี่ยง อย่าไปคิดว่าศิลปะของเราดีที่สุดในประเทศ มันไม่ดีหรอก คือเราทำให้นายทุนเชื่อว่าของเราสวยจริงแล้วเค้าก็รับความเสี่ยงด้วยไง ถึงแม้นายทุนจะเป็นคนทำธุรกิจ เป็นอาเสี่ย
“ใช่ๆ คือถ้าเราจะตายยังไงมันก็ต้องรอด”
แต่เค้าก็รับความเสี่ยงนะ ศิลปะอย่าง Fine Art มันเป็นศิลปะที่รองรับตัวเอง ขายงานได้หรือไม่ได้ก็รองรับจิตใจตัวเอง แต่นี่มันรับมวลชนรับทั้งสังคม อีโก้ก็มีบ้างแต่ขอให้เป็นอีโก้อีกอย่าง อย่าเป็นอีโก้ที่บอกงานกูดีที่สุด อย่าทะนง ศิลปะที่มวลชนรู้สึกได้เป็นกลุ่มใหญ่มันน่าจะดีนะ เพราะดึงประสบการณ์ที่หลากหลายออกมารวมได้”
Thai Animator is Still Running
“มีนักศึกษามาเรียนเยอะมั้ยครับ”
ข้อดีของศาสตร์แอนิเมชั่นก็คือมันเป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกศาสตร์ของคอมพิวเตอร์อาร์ต อาจารย์ชัยพรจึงแนะนำนักศึกษาที่เรียนด้านนี้ว่าควรปรับเอาความรู้ไปใช้กับงานในด้านอื่นๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดักชั่นภาพยนตร์หรือโฆษณา
“ตอนนี้ผมอยากให้สถาบันเป็นตัวที่สร้างแอนิเมเตอร์กันก่อน ตอนนี้คือมันไม่มีช่างที่จะทำ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เอาศาสตร์คอมพิวเตอร์ไปใช้กับงานโฆษณา ภาพยนตร์ หรือแม้แต่สิ่งพิมพ์ก็ได้หมด แต่ถ้าเกิดมีนายทุนอยากจะทำจริงๆ ยอมลงทุนเยอะมาก ใจถึง ซึ่งไม่ค่อยมี (ยิ้ม) แล้วค่อยมารวมตัวกันใช้ศาสตร์ของการ์ตูนก็ได้”
ผมเหลือบไปมองภาพของชายในกรอบรูปอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นหายไปแล้ว ทว่าในดวงหน้านั้นครุ่นคิดถึงบางสิ่ง บางทีสิ่งที่ชายในภาพครุ่นคิดอาจเป็นความแห้งแล้งของการดำรงชีวิตให้อยู่ได้บนเส้นทางแห่งศิลปะชีวิตจึงมีสิ่งที่อยากทำ และต้องทำควบคู่กันอยู่เสมอ!
“นอกจากแอนิเมชั่น ช่วงนี้ยังทำงานศิลปะอยู่บ้างไหม” ผมถามหลังจากสบตากับชายในกรอบรูป
“เราจะมีงานบางอย่างที่อยากทำ และอีกอย่างที่ต้องทำ เพราะต้องเอาเงินตรงนี้ไปซัพพอร์ตงานที่เราอยากทำ ชีวิตส่วนตัวของผมทำคอมพิวเตอร์เสร็จ กลับบ้านก็ต้องเขียนสีน้ำมัน อะคริลิก เขียนบนเฟรม เขียนแอร์บรัช คือเราโตมากับงานผ้าใบ ผมจะมีแกลเลอรี่เป็นห้องเขียน อะไรก็ตามที่เราได้สัมผัสกระดาษ สัมผัสเฟรม ใครเชิญไปแสดงงานผมก็ไป คือขอให้เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก
“อย่างตอนนี้ชีวิตผมกับบ้านอิทธิฤทธิ์ก็เหมือนกัน คือขอเก็บตังค์เพื่อสร้างสิ่งที่เราชอบ อย่างชีวิตผมทำคอมพิวเตอร์เพื่อเอาเงินเอาไปซัพพอร์ต เช่น มีเงินระดับหนึ่งเพื่อเขียนงานบนเฟรมผ้าใบซึ่งเราไม่ต้องอิงกับพาณิชย์แล้ว ก็เหมือนบ้านอิทธิฤทธิ์เก็บเงินจากงานบางอย่างเพื่อเอามาซัพพอร์ตกับงานบางอย่างที่อยากทำ ทำตัวเองให้แข็งแรงก่อน ต้องเลี้ยงดูแอนิเมเตอร์หลายคนด้วย” (ยิ้ม)
บ่ายแก่ลงเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของผม แมลงวันตัวนั้นยังคงบินวนอยู่รอบๆ วงสนทนาของเรา ‘อีกไม่นานมันคงหมดแรงบินไปตามเวลา’ ผมคิด วงจรชีวิตของแมลงสั้นแสนสั้น!!! แต่วงจรชีวิตของความฝันมันยาวพอๆ กับลมหายใจของความตั้งมั่น
หมายเหตุ : ฮายาโอะ มิยาซากิ (Miyazaki Hayao) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่น ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีในหมู่ชาวตะวันตก โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้นิยมดู ‘หนังศิลปะ’ และเมื่อปีพ.ศ.2545 ภาพยนตร์เรื่อง Spirited Away ได้ออกฉายและได้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม ชื่อของมิยาซากิกลายเป็นที่จับตามองในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์แอนิเมชั่นของโลก