ขณะที่กำลังเตรียมทำวิทยานิพนธ์วิชาสถาปัตย์ ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายก่อนจะเรียนจบ จู่ๆพี่เต๋อก็ติดต่อมาว่า
พี่เต๋อรับงานมางานหนึ่งจากอาเปี๊ยก โปสเตอร์ เป็นเพลงประกอบหนังวัยรุ่น
พี่เต๋ออยากชวนผมไปช่วยเขียนเนื้อเพลง
ขึ้นชื่อว่าวิทยานิพนธ์สถาปัตย์ฯใครๆก็รู้ว่าโหดเพียงใด
เพราะต้องใช้เวลาทั้งเทอมนั้นทำอาคารนั้นเพียงเรื่องเดียว
ทั้งศึกษาหาข้อมูลและเขียนแบบตัดโมเดลจนเลย
ไปถึงนำเสนอต่อคณะอาจารย์ แบบก่อสร้างนั้นต้องเขียนกันแผ่นใหญ่และ
มีจำนวนหลายแผ่นสร้างบรรยากาศให้นิสิตรู้สึกเหมือนกับว่าโครงการทีสิสนี้นี้จะนำไปสร้างจริงๆ
พวกเราชาวสถาปัตย์จึงแทบจะใช้เวลาและพลังทั้งหมด
ในเทอมนั้นพาให้ตัวเองเรียนจบให้ได้ แต่… โปรเจคที่พี่เต๋อมาชวนไปทำนี่สิ
ทำไมความฝันมันช่างหอมหวนอย่างนี้
หนำซ้ำชื่อของผู้กำกับหนังที่พี่เต๋อชวนไปทำด้วยคือศิลปินขวัญใจของผมตั้งแต่เด็ก
เท้าความเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงแค่นักศึกษาที่เรียนยังไม่จบ แต่ก็ถือว่าโชคดีได้จับพลัดจับผลูได้รู้จัก
และเคยร่วมงานกับพี่เต๋อพี่ชายใจดีของคนดนตรี
ทั้งวงการแน่นอนแม้จะกังวลเรื่องวิทยานิพนธ์ซึ่ง
เราก็ไม่ได้นับเป็นนักเรียนที่เรียนดีนัก แต่ก็ตอบรับพี่เต๋อไปในทันที
พี่เต๋อนัดผมไปเจออาเปี๊ยกเพื่อให้อาเปี๊ยกเล่าให้ฟังว่า
หนังที่ชื่อวัยระเริงเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร และอาเปี๊ยกอยากได้เนื้อเพลงแบบไหน
ผมยังจำวันที่ได้เจอศิลปินในดวงใจที่เราติดตามงานของเขาทั้งงานวาดภาพและงานภาพยนตร์ได้ดี
ผมไปเจออาเปี๊ยกที่สำนักงานแถวสะพานขาว ตอนเดินไปนั่งคุยด้วยผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเดินไปหาภูเขา
แต่อาเปี๊ยกเป็นภูเขาที่น่ารักเหมือนอย่างที่คิดไว้
แกเล่าเรื่องชัดเจน สนุก และก็ให้เกียรติเด็กน้อยเรียกชื่อผมทุกคำ
ผมรู้สึกเลยว่าแกเป็นคนหัวสมัยใหม่มากและพร้อมส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ดูจากหนังที่อาเปี๊ยกสร้างมาตลอด
ล้วนนำเสนอของใหม่ๆเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่อง หรือการปั้นพระเอกนางเอกใหม่มากมาย
ทั้งไพโรจน์ ใจสิงห์ ,ไพโรจน์ สังวริบุตร, อุเทน บุญยงค์ ,ทูน หิรัญทรัพย์ ,วันดี ศรีตรัง ฯลฯ
หลังจากนั้นเกือบเดือนพี่เต๋อก็ส่งทำนองดนตรี
ที่ทำโดยจอมยุทธทางดนตรียุคนั้นมาให้ผมฟังสี่ห้าเพลงงานของวิชัย อึ้งอัมพร
และ อุกฤษณ์ พลางกูร ทำนองที่ฟังแล้วทำให้คนที่บ้าดนตรี
อย่างผมแบ่งเวลาระหว่างการทำวิทยานิพนธ์
และการแต่งเพลงแบบลำเอียง
เพื่อนที่สนิทกันเห็นวิทยานิพนธ์ของผมไม่ค่อยคืบหน้า ก็สะกิดด่าเบาๆว่า เฮ้ย ระวังไม่จบนะ
ผมแต่งเนื้อส่งไปให้พี่เต๋อสี่ห้าเพลง ผ่านไปราวสักอาทิตย์หนึ่ง
พี่เต๋อก็บอกว่าอาเปี๊ยกอยากคุยด้วยอีกที ผมก็นึกในใจสงสัยว่าเพลงคงไม่ผ่าน
แล้วก็ได้เจออาเปี๊ยกอีกครั้ง ผิดคาดอาเปี๊ยก
ขอแก้เพลงนิดๆหน่อยๆ แต่ประโยคที่ทำให้
ผมทั้งดีใจและกังวลใจคือ “อยากเขียนบทหนังมั้ย”
ความดีใจนั้นคือการได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ร่วมงานกับศิลปินในดวงใจ แต่ในความกังวลคือ
ผมจะบริหารเวลาอย่างไร ผมจะทำทีสิสผ่านไหมถ้ามีงานนอกเข้ามาพัวพันเพิ่มขึ้น
ผมตอบรับอาเปี๊ยกไปในทันที
บทหนังเรื่องวัยระเริงที่อาเปี๊ยกกำลังทำอยู่นั้น อาเปี๊ยกพล็อตไว้หมดแล้ว และเขียนบทไปบ้างแล้วเล็กน้อย
แกอยากให้ผมลองดู อยากเสนออะไรก็ลองเขียนมา ก่อนจะลงมือเขียนบท
อาเปี๊ยกเอารูปพระเอกหน้าใหม่ที่อาเปี๊ยกเพิ่งเจอให้ดู ผมเห็นแล้วก็รู้สึกเลยว่า
ดวงตาเศร้าของเขาเศร้าและมีเรื่องราวมากมาย
แล้วอาเปี๊ยกก็พูดถึงพระเอกใหม่คนนี้ด้วยสายตาของผู้กำกับและจิตรกร
“หน้าเขาเท่มากนะ ตาโศก คิ้วกับตาชิดกัน เหมือนพวกอิตาเลี่ยน
แต่ดูแล้วเป็นไทย หน้าอย่างนี้วาดมุมไหนก็สวย” ผมไม่ได้เห็นตัวจริงหนุ่ย อำพล ลำพูนในวันนั้น
แต่ได้มาเห็นอีกทีตอนที่อาเปี๊ยกชวนไปดูการแคสติ้ง
นักแสดงเรื่องนี้ ต้องนับว่าเป็นวิธีการที่ล้ำมากในสมัยนั้น
อาเปี๊ยกจัดให้มีการพบปะกันแบบปาร์ตี้ของวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่สมัครกันเข้ามาเป็นนักแสดง
งานปาร์ตี้นี้มีวงดนตรีหน้าใหม่ที่ชื่อไมโครบรรเลงร้องอยู่บนเวที
วัยรุ่นที่มาสมัครก็เต้นรำกันไป บ้างก็เดินไปเดินมาหาของกินที่ทีมงานจัดไว้ให้
แล้วอาเปี๊ยกก็ส่งทีมงานแทรกซึมอยู่ในปาร์ตี้นั้นเพื่อถ่ายภาพนิ่งอิริยาบถเก็บเอาไว้ตอนคัดเลือกนักแสดง
ผมนั่งอยู่กับอาเปี๊ยกเพื่อเรียนรู้การทำงาน
อาเปี๊ยกชี้ให้ดูเด็กสาวคนหนึ่งที่อาเปี๊ยกหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นนางเอกเรื่องนี้
หน้าตาน่ารัก ชวนมอง มีแก้มป่องๆหน่อย เรียกได้ว่าไม่อยู่ในพิมพ์นิยมของนางเอกหนังไทยเลย
สายตาของอาเปี๊ยกไม่เหมือนใครจริงๆ เธอชื่อวรรษมน วัฒโรดม แล้วอาเปี๊ยกก็บอกว่า
ถ้าผมมองเห็นว่าเด็กคนไหนน่าสนใจที่จะเอามาเล่นเป็นเพื่อนนางเอกก็ให้บอกอาด้วย ช่วยๆกันดู
ผมชี้ให้อาเปี๊ยกดูเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะดูมีเนื้อมีหนังนิดๆ ใบหน้าของเธอคมคายคล้ายลูกครึ่ง
แต่ผมชอบที่เธอดูเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา ดูเป็นเด็กที่เดินไปเดินมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ได้มาเดินเก๊กสวยเพื่อให้แมวมองเห็นเหมือนคนอื่นๆ
อาเปี๊ยกบอก อาก็มองคนนี้อยู่ คิดว่าจะให้อยู่ในเรื่องด้วย
จิกเขียนบทใส่ไปเลย เด็กสาวคนนั้นเมื่อเติบโตมาถึงวันนี้ ทุกคนรู้จักเธอในชื่อ สุริวิภา กุลตังวัฒนา
ในวันนั้นผมได้เห็นหนุ่ยอำพล เดินปะปนอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น เขาเป็นจุดศูนย์รวมสายตามากกว่าใครทั้งหมดจริงๆ
หลังจากนั้นสองเดือน ผมก็ตกอยู่ในภาวะเหนื่อยยากแต่มีความสุขเหลือเกิน
ผมต้องค้างคณะเพื่อทำทีสิสไปด้วยแต่งเพลงไปด้วยและเขียนบทไปด้วย
บางคืนก็นั่งเขียนบทดึกๆดื่นๆจนเพื่อนที่รู้ว่าผมทำอะไรอยู่ก็คอยถีบหลังว่า
เฮ้ย เขียนแบบได้แล้ว จะจบไหมเนี่ยมึง
บางวันผมต้องรีบสะดุ้งตื่นแต่เช้า แล้วโบกแท๊กซี่ไปกองถ่ายหนังเพื่อเอาบทไปส่ง
มือสมัครเล่นอย่างผมบางทีก็ทำงานล่าช้าส่งไม่ตรงตามนัด
คราวหนึ่งผมไปถึงกองถ่าย และแอบมองเห็นว่าฉากที่ผมเขียนมาและยังไม่ได้ส่งนั้น
อาเปี๊ยกกำลังถ่ายทำอยู่ ผมคิดในใจอาเปี๊ยกคงรอไม่ไหว และถ่ายไปก่อน
พอพักกอง ผมก็เดินตัวลีบเอาบทไปส่งแก
แกไม่พูดอะไรสักคำนอกจากให้พักกองแล้วนั่งอ่านบทที่ผมเพิ่งเอามาส่ง ยื่งแกไม่พูด
ผมยิ่งรู้สึกผิดแต่นั่งรอสักพัก ผมก็เห็นแกเรียกทีมงานให้เอาบทของผมไปถ่ายสำเนา
แล้วก็เตรียมถ่ายฉากนั้นทั้งหมดจากบทของผม
กราบอาเปี๊ยกมา ณ ที่นี้อีกครั้งครับ
และเมื่อหนังออกฉาย ผมจึงรู้ว่าหลายฉากที่ผมเขียนไป อาเปี๊ยกคงเห็นว่ามันเด๋อด๋าไม่สมจริง
แกเลยเขียนขึ้นใหม่ ซึ่งก็ดูดีกว่าที่ผมเขียนมากมาย ในที่สุดผมก็เรียนจบสถาปัตย์ฯ
วิทยานิพนธ์ฉบับนั้นผมได้เกรด C ซึ่งต้องบอกว่าแค่เรียนจบมาก็บุญโขแล้ว
แต่ภาพยนตร์ไทยเรื่องที่ผมมีส่วนร่วมเรื่องนี้ต้องเรียกว่าได้เกรด A
เพราะมันได้สร้างปรากฏการณ์มากมายในวงการบันเทิง และกลายเป็นจุดกำเนิดของอะไรต่ออะไรอีกมากมาย
หนุ่ยอำพล และ หมีวรรษมน ได้กลายเป็นดาราแม่เหล็กอีกคู่หนึ่งของวงการ
และหลังจากนั้นหนุ่ยก็เข้ามาเป็นนักร้องนำของวงไมโคร วงดนตรีร็อคที่ดังที่สุดวงหนึ่ง แหม่มสุริวิภา
ได้เติบโตต่อมาในฐานะนักแสดงและเป็นพิธีกรหญิงแถวหน้าในวงการโทรทัศน์
แหวนฐิติมา ที่มาร้องเพลงใช้เสียงแทนวรรษมน ได้กลายเป็นนักร้องชื่อดังต่อมา
พี่อ้องสุรสีห์ อิทธิกุล นักร้องจากวงบัตเตอร์ฟลายที่มาใส่เสียงร้องแทนอำพล เริ่มเป็นที่รู้จักนับแต่นั้น
เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ฟังเพลงจากหนังเรื่องนี้ก็ต้องถามหาว่า ใครคือเจ้าของเสียงนั้น
ส่วนเพลงที่ผมรับมาจากพี่เต๋อนั้น ด้วยจำนวนเพลงที่มากเลยเกรงว่าจะเขียนไม่ทันกำหนด
และลึกๆก็เชื่อมั่นในพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ชื่อ นิติพงษ์ ห่อนาค
ผมจึงส่งเพลงหนึ่งเพลงให้เขาช่วยเขียน เพลงนั้นคือเพลงดนตรีในหัวใจ ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว
ต้องบอกว่ามันเป็นเพลงไทยที่ดีที่สุดเพลงหนึ่ง
ที่สำคัญเพลงนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่ออกสู่สาธารณะชนของนักแต่งเพลง
ที่ต่อมาได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของบริษัทผลิตเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ…