โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ nantiyaw@posttoday.com
“โลกนี้ไม่มีของฟรี” อาจไม่ใช่ประโยคสวยหรูจากกวีเอกอย่างเช็กสเปียร์ หรือนักปรัชญาเมธีอย่างวอลแตร์
แต่ก็เป็นหนึ่งในประโยคที่ดิฉันชอบมากที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ร่วมสมัยกับสังคมยุคทุนนิยม
ในปัจจุบันที่ค่อนข้างจะซับซ้อนขึ้นทุกวันๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาอย่างถึงที่สุดชนิดที่อาจไม่จำเป็นต้องหาคำมาอธิบายเลยว่า
คนทั่วไปต่างก็ชอบของฟรีกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นของฟรีบนความ “เสน่หา” หรือมีจุดมุ่งหมายอำพราง
แต่ในขณะที่สถาบันครอบครัวลดขนาดกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว
ลูกหลานออกจากบ้านไปหางานทำในเมืองหลวง
ตามเมืองใหญ่ หรือแม้แต่ในต่างประเทศ ผู้หญิงผู้ชายต่างครองความเป็นโสดกันมากขึ้น
และทำให้เรากลายเป็น “คนแปลกหน้า”
ของกันและกันในสังคมมากขึ้นนั้น คำถามก็คือ ของฟรีที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจะยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหน
เรื่องนี้ไม่ใช่การปลุกด้านมืดให้คนเห็นแก่ตัว
แต่เพียงแค่อยากให้ตระหนักว่า
ของทุกอย่างล้วนแล้วแต่มี “ต้นทุน”
ซึ่งแม้แต่คนที่ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ก็น่าจะเข้าใจได้
แม้แต่ของฟรีจากความสิเน่หาที่ไม่ต้องการของตอบแทน ก็ยังมีต้นทุนมาจาก “ความรัก”
หรือความชอบพอถูกคอกัน จนยอมที่จะแบ่งปันหรือใช้เงินของตัวเองหาซื้อของให้คนที่ชอบ
ทุกวันนี้สังคมเราซับซ้อนขึ้น การจะลงมือทำอะไรสักอย่างต้องมีแผน มีกลยุทธ์
ขนาดจะขอสาวแต่งงานยังต้องจ้างออร์แกไนเซอร์จัดฉากเตี๊ยมกันข้ามวันข้ามคืน
ก่อนจะเรียกร้องมองหาของฟรีกันง่ายๆ อย่างน้อยจึงควรรู้สักนิดว่า ของนั้นๆ มีต้นทุนอะไร
มีเงื่อนไขหรือราคาค่างวดที่เราต้องจ่ายโดยที่ไม่ใช่ตัวเงินหรือไม่
พูดถึงราคาค่างวดเช่นนี้ก็ทำให้นึกถึงข่าวที่ประเทศจีน ลอยมาในหัวก่อนใครเพื่อน
เพราะแม้จะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 2 ในฐานะโรงงานผลิตของโลก
แต่จีนกลับต้องแลกด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมอันแสนแพง เกิดหมอกควันพิษปกคลุมไปทั่วกรุงปักกิ่ง
จนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต้องเอาจอโปรเจกเตอร์มาฉายภาพพระอาทิตย์ขึ้นลงแก้ขัดไปพลางๆ แทน
ส่วนอเมริกาที่โยกฐานการผลิตไปจีนเพื่อหาแหล่งต้นทุนถูกและเลี่ยงการสร้างมลพิษในบ้านตัวเอง
ก็ไม่รอดเมื่อหมอกควันพิษจากจีนเริ่มส่งผลกระทบไปไกลจนถึงแถบชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐแล้ว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากพูดถึงสิ่งที่ให้กันด้วยความมีมิตรจิตมิตรใจไม่มีผลประโยชน์เคลือบแฝงแล้ว
ของฟรีหรือที่เราเรียกกันอีกนามหนึ่งว่า “น้ำใจ”
ก็จะนำไปสู่การหมุนเวียนแลกเปลี่ยนไมตรีต่อกัน กลายเป็นการ “ให้และรับ” หรือ Give and Take
ที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งของที่ให้กันและกัน โดยเฉพาะหากได้รับมาจากคนที่ไม่รู้จัก
และเรารู้จักหยิบยื่นน้ำใจหรือโอกาสส่งไม้ต่อไปให้กับคนอื่นๆ ในสังคม
ในต่างประเทศมักมีข่าวเกี่ยวกับของฟรีแบบแปลกๆเกิดขึ้นเสมอ
เช่น การให้อาหารเย็นแก่คนจรจัด 100 คน ในกรุงโรม อิตาลี
การสั่งกาแฟเผื่อเอาไว้ตามคาเฟ่ในสหรัฐ
เพื่อให้คนไร้บ้านได้ดับความโหยและได้ดื่มกาแฟอุ่นๆ
ในหน้าหนาว นอกจากนี้ยังมีข่าวการให้เงินหรือ
ของขวัญแก่คนแปลกหน้าอยู่เสมอๆ
ของฟรีอาจไม่มีจริงในโลก แต่น้ำใจย่อมมีให้กันได้เสมอ