Custom Search

Sep 6, 2020

ดร.ณัฐกริช เปาอินทร์ ผู้ชนะต้องไม่กลัวคำว่าล้มเหลว

 


โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

วันที่ 26 ส.ค. 2557

ถ้าไม่เฉลยว่าเคยเป็นหนุ่มคลีโอรุ่นเดียวกับ บอยปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ โทนี่ รากแก่น หรือ สงกรานต์ เตชะณรงค์
คงคาใจใครหลายๆ คนว่า มิกซ์ดร.ณัฐกริช เปาอินทร์ หลุดรอดสายตาแมวมองไปได้อย่างไร เพราะด้วยวัย 34 ปี
กับหลากหลายบทบาท
ทั้งผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต ภาคพิเศษ จ.สุราษฎร์ธานี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
และเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สอนนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกที่นิด้า
รวมถึงการเป็นนักวิชาการ ดร.มิกซ์ ยังดูดีและมีหัวใจหล่อไม่แพ้หน้าตา
เริ่มตั้งแต่ความฝันวัยเด็ก ดร.มิกซ์ ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่รับราชการทั้งทหารและตำรวจ บอกว่า
เขายังไม่เจออาชีพในฝัน จนกระทั่งในชั่วโมงเรียนวิชาแนะแนว
“ถามว่าได้แรงบันดาลใจอยากเป็นทหารจากใครมั้ย ไม่มีนะ ด้วยตัวผมเองตอนเรียนอยู่ ม.1
มีการแนะแนวเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมทหาร ผมได้เห็นการฝึกแล้วรู้สึกว่าตัวเองชอบ อันนี้ใช่
ผมเลยตัดสินใจตัดผมทรงนักเรียน ทั้งที่ปกติเพื่อนนักเรียนเซนต์คาเบรียลชอบไว้ผมยาว
ผมขัดหัวเข็ดขัดจนมัน ดูแลรองเท้าให้เรียบร้อยทุกอย่าง ตามระเบียบ
แล้วก็มุ่งมั่นที่จะสอบโรงเรียนนายร้อยให้ได้ ซึ่งต่างกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน รุ่นผมมี 2 คนที่มาเรียนนายร้อย
แต่ปีผมมีคนเดียว เพื่อนในรุ่นมาสอบตามอีกปีถัดมา”
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ได้เกรดเฉลี่ยเป็นลำดับที่หนึ่งของสาขา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ดร.มิกซ์ ได้ทำงานเป็นผู้บังคับหมวดกองร้อยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2
กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 6
กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก อยู่ 2 ปี จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต
เมื่อเขาตัดสินใจลาออกและสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา
“มีคนถามผมเยอะว่าทำไมต้องลาออกจากทหารมาเป็นอาจารย์ ผมย้ำคำตอบเดิมว่า ณ วันนี้ก็ยังให้สิ่งที่เป็นเหตุผลไม่ได้
ผมคิดว่าการตัดสินใจของผม ณ ช่วงเวลานั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด มองย้อนกลับไปผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องนะ
เพราะทุกวันนี้ก็มีความสุขกับการทำงานด้านวิชาการ แต่ยังรักความเป็นทหารอยู่มาก
ซึ่งผมเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 40 และเป็นนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่นที่ 51”
จากทหารเบนเข็มมาเป็นอาจารย์ ดร.มิกซ์ ยอมรับว่า เป็นการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตที่พลิกผันพอสมควร แต่ด้วยเป็นคนสุดโต่ง
เด็ดขาด ถ้าตัดสินใจอะไรแล้วไม่เปลี่ยนใจ ไม่โลเล ดังนั้นเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็พร้อมจะก้าวย่างไปในเส้นทางที่เลือกอย่างดีที่สุด
“ตอนมาสายวิชาการ ผมเหมือนเริ่มใหม่จากศูนย์ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด
ไปเรียนจนจบปริญญาเอก ทุกวันนี้ผมพยายามมุ่งสร้างผลงานทางวิชาการ
เพราะผมเชื่อว่าการวิจัยจะช่วยให้โลกขับเคลื่อนก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
ผมเชื่อมั่นว่าประเทศและสังคมจะเจริญรุ่งเรืองได้ ต้องอาศัยนวัตกรรมใหม่
ซึ่งป็นสิ่งที่จำเป็นต้องร่วมกันพัฒนาทั้งสายสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์”

ดร.มิกซ์ บอกว่า ประเทศที่เจริญแล้วมีการทำวิจัยและพัฒนาอย่างมาก สังเกตว่าประเทศที่เจริญแล้วอย่างเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น
มีนักวิจัยต่อประชากร 1 ล้านคน ประมาณ 3,0004,000 คน ขณะที่คนไทยอยู่ที่ประมาณ 300400 คน
ดังนั้นเราจะเห็นถึงความต่างในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและด้านอื่นๆ ของเขากับเราอย่างเห็นได้ชัด
เพราะฉะนั้นงานหลักที่ผมทำควบคู่กับงานสอนหนังสือและบริหาร คือ การเป็นนักวิชาการและนักวิจัย
“งานวิจัยที่ผมกำลังทำตอนนี้คือ การต่อต้านคอร์รัปชั่น
ผมอาศัยประสบการณ์จากที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการป้องกันการทุจริตประพฤติไม่ชอบของ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เห็นกรณีศึกษาว่าในวงการราชการมีการโกงและทุจริตกัน
แบบไหนมามาก ทุกวันนี้ประเทศไทยเสียงบประมาณ
ไปกับการโกงในวงราชการเป็นจำนวนมหาศาล
เฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาท/ปี คิดง่ายๆ
คืองบในการสร้างรถไฟความเร็วสูงจากรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ บวก กรุงเทพฯระยอง
ดังนั้นถ้าเราตัดการคอร์รัปชั่นนี้ออกไปได้
ประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่านี้มาก”
อย่างไรก็ตาม ดร.มิกซ์ ยอมรับว่า กว่าจะถึงวันนั้นต้องใช้เวลา
ต้องทำระยะยาว ทั้งการปราบปรามและสร้างจิตสำนึกให้คนในชาติ
แต่เขามีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยทำได้
เพราะในต่างประเทศเองก็มีหลายประเทศประสบความสำเร็จ
กับภาระหน้าที่ในปัจจุบัน ถามว่า ดร.มิกซ์
ได้เอาศาสตร์การเป็นทหารมาใช้ในงานด้านวิชาการอย่างไร
ดร.มิกซ์ ตอบอย่างฉะฉานว่า เป็นประโยชน์มาก
เพราะการทำงานด้านวิจัยต้องอาศัยความมุ่งมั่น
การทำวิจัยคือการค้นหาความจริงในประเด็นที่เราต้องการศึกษา
ถ้าเราไม่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ เด็ดเดี่ยว จะได้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง
เพราะฉะนั้นการจะได้ข้อมูลที่เป็นจริง
จะเอาไปสร้างเป็นแผนในการแก้ปัญหาสังคม ประเทศชาติ
ต้องมาจากความมุ่งมั่นอย่างมาก
“ผมเคยทำโครงการแก้ปัญหาการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนใน 14 จังหวัดภาคใต้ เมื่อปีที่แล้ว ผมเป็นหัวหน้าทีมวิจัยลงไปทำงานในพื้นที่
ต้องยอมรับว่าในพื้นที่นั้นมีความเสี่ยงสูง มีการต่อสู้ของประชาชนที่เข้าไปยึดพื้นที่ ค่อนข้างอันตราย เราเองไม่ใช่คนในพื้นที่
แต่ด้วยความที่เราเป็นทหาร มีทักษะการสังเกตการณ์ การติดต่อสื่อสาร การประเมินสถานการณ์ หูไวตาไว ก็เอามาใช้ในการทำงาน
ช่วยให้เราและทีมงานปลอดภัย เรามีความห้าวหาญ ติดดิน ลงพื้นที่ไปหาชาวบ้านได้เลยไม่มีปัญหา”

ด้วยเนื้องานที่ดูจริงจังเช่นนี้ ถามถึงเวลาพักผ่อน ดร.มิกซ์ ตอบอย่างไม่ลังเลว่า ทำงาน 7 วัน ตั้งแต่เริ่มเป็นอาจารย์เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว
ไม่มีวันหยุด แต่หัวใจเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจและความสุข เพราะการทำงานเป็นความสุขของเขา มีบ้างที่ต้องการผ่อนคลาย
เขาเลือกไปออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ดูหนัง ดร.มิกซ์ บอกว่า เขาอ่านหนังสือเยอะมาก อย่าถามว่าเดือนละกี่เล่ม
เพราะสัปดาห์หนึ่งอ่านประมาณ 20 เล่ม บางวันอ่านได้มากถึง 10 เล่ม
“ผมว่าการเป็นอาจารย์ที่ดีต้องมีการเพิ่มพูนองค์ความรู้อยู่เสมอ ผมว่าไม่อ่านก็ไม่รู้ แต่อ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ
การเพิ่มพูนความรู้อีกอย่างคือการทำวิจัยเป็นการเพิ่มโลกทัศน์ให้กับตัวเรา ให้มีองค์ความรู้ที่มากขึ้น
ทำให้มีความรู้จะไปสอนมากขึ้นทุกปี ผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญของคนที่เป็นนักวิชาการไม่ควรศึกษาหรืออ้างเฉพาะตำรา
สิ่งที่จะทำให้โลกเจริญก้าวหน้า คือ ผสมองค์ความรู้เดิมเข้ากับไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
ดังนั้นต้องฝึกตัวเองให้มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ไม่งั้นจะเป็นผู้ตาม”
ดูเหมือนชีวิตของ ดร.มิกซ์ จะเพียบพร้อม และเป็นดั่งหวังทุกอย่าง
จนอดถามไม่ได้ว่าเป็นคนประเภทเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์หรือเปล่า
ดร.มิกซ์ ยืดอกรับ แต่เขาเองก็พร้อมจะยอมรับความผิดหวังได้

“มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ สอนว่า ให้ใช้ความล้มเหลวเพื่อสร้างความสำเร็จในอนาคต
คนเราเมื่อมีความล้มเหลวต้องลุกขึ้นสู้ บางครั้งความล้มเหลวนั้นอาจเป็นผลดีสำหรับเรา
ให้เราประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่าจะไม่ล้มเหลวในอดีตเสียอีก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ล้มเหลวคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย ผมรับได้กับความล้มเหลว ผมเคยล้มเหลว หนักด้วย
แต่ขอไม่เอ่ยถึง ผมว่าคนเราสำคัญสุดคือกำลังใจ อย่าสูญเสียขวัญกำลังใจ ทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรสำเร็จหมด
แต่ถ้าเป็นนักสู้จริง วันหนึ่งถึงจะล้มบ้างลุกบ้าง แต่ก็จะไปได้ถึงเป้าหมาย นั่นคือวิถีทางของผู้ชนะ
ผู้ชนะไม่ใช่ว่าชนะมาตลอด แต่แทนที่จะล้มและลุกขึ้นมาสู้ต่อไปจนไปถึงเป้าหมายของชีวิต”
ดร.มิกซ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงบรรทัดนี้เชื่อหรือยังว่าหัวใจผู้ชายคนนี้หล่อไม่แพ้หน้าตา