ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
วันที่: 26 มี.ค. 60 เวลา: 13:15 น.
มติชน
ล่วงมา 1 เดือน กับ 13 วัน หลังเปิดตัวโครงการระดับชาติ คือ
“การปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ” เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2560
เป็นวันที่ทุกพรรคการเมืองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทั้งเพื่อไทยประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา
แม้แต่กลุ่ม นปช. กปปส.ฯลฯ
นับเป็นการกำหนด “ฤกษ์ดี” วันแห่งความรัก ในการเริ่มต้นความสมานฉันท์
เริ่มต้นด้วยความรักแบบหนักๆ เพื่อจะเข้าสู่เรื่องราวเบาๆ ที่ว่าด้วยความรักแบบจริงๆ
คนเราคงไม่ได้รักกันเฉพาะวันแห่งความรัก ที่เรียกว่า “วันวาเลนไทน์” เท่านั้น
ความรักเกิดได้ตลอดเวลา ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่มีให้กัน ดีต่อกัน คงไม่ใช่คู่รัก
แฟนกันเท่านั้น อาจจะเป็นใครก็ได้สักคู่ที่มีความรักต่อกัน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง
เพื่อนต่อเพื่อน หรือแม้เจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้าน
แต่ในเรื่องของ “ธรรมชาติ” มองสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืชก็ตาม
การจรรโลงอยู่ของสายพันธุ์ที่ยังคงต้องดำรงอยู่ในโลก หรือวัฏจักรชีวิต
คือการสืบพันธุ์ แต่ก็จะมีการสืบพันธุ์ได้นั้น จะต้องเกิดจากเพศผู้กับเพศเมีย มาผสมพันธุ์กัน
ซึ่งก็อนุมานแปลได้ว่าจะต้อง “มีคู่” ที่เกิดจากทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกันว่า
จะอยู่เป็นคู่ครองกันเพื่อสืบพันธุ์กันต่อไป หลังจากทั้งคู่มีจิตปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
พูดภาษาชาวบ้านๆ ว่า “รักกัน” แต่ภาษาที่คู่ชายหญิงไม่ว่าชนชาติใดก็ตามมามีความสัมพันธ์กัน
จะด้วยตั้งใจหรือบังเอิญ คงจะเป็นคนละซีกโลก คนละประเทศ
คนละทิศแม้อยู่ในประเทศเดียวกัน หรือบ้านเรือนเคียงกัน หากพบกัน
แรกพบสบตากันก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เหมือนภาษารัก ว่า “ศรปักอกเมื่อแรกพบ”
ดูตาก็รู้ใจกัน พูดอะไรก็รู้เรื่อง ใจพันผูกมีไมตรีต่อกัน เกิดความรักที่ดีต่อกัน
เป็นคู่กันว่าด้วยเรื่อง “การมีคู่” คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก
และก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากมาย แต่ก็มีความสัมพันธ์มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของ “ชีวิต”
เพราะการที่เรามีคู่ครองที่ดีชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ
เป็นแรงใจสำคัญที่จะ “ร่วมอนาคต” ร่วมสร้างกรรมดีเป็นบุญกุศลร่วมกันต่อไปในภายหน้า
เหมือนซื้อลอตเตอรี่ถูกรางวัลที่หนึ่ง ในทางตรงข้ามหากได้คู่ครองไม่ดี…
ชีวิตก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าสุข พระท่านว่าตกนรกทั้งเป็น
หรือซื้อลอตเตอรี่ไม่ถูกแม้รางวัลเลขท้ายสองตัว
แต่ยังถูกกินรวบอีกต่างหากที่มันจะกลายเป็น “เชื้อ” ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำลายอนาคต
ปิดฉากการทำงาน หรือแม้แต่ทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน
ซึ่งมีให้เห็นมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามวิทยุ ทีวี
ตามที่เป็นข่าวใหญ่โตแฉกันไปมา นั่นเพราะขาดความเข้าใจกันและกันในเรื่องนี้
เกิดมาครั้งหนึ่ง เรื่องชีวิตคู่จึงต้องดู ต้องเลือกกันให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
เพราะนั่นคือต้องอยู่ร่วมหอลงโรงกันตลอดชีวิตและตลอดไป
การพบรักของคนสองคนที่มาตกลงปลงใจเป็น “คู่รัก”
หรือแค่เป็นแฟนกันในห้วงเวลาหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญอะไรทั้งสิ้น
ทุกอย่างในโลกนี้มีที่มาและที่ไป มีเหตุและมีผลเสมอ
การพบกันนั้นมาจาก“กรรมลิขิต” หรือ “กรรมจัดสรร” ให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
และไม่เพียงการมาพบกัน แต่เป็นทุกเรื่องในชีวิตเลยทีเดียว ที่ “กรรม” เป็นผู้ลิขิต
หากย้อนอดีตไปก่อนพุทธกาล หรือนานกว่า 2,500 กว่าปี แล้วที่
“พระพุทธองค์” ได้ทรงตรัสให้ทุกคนได้ “ตื่นรู้” ได้ตระหนักในความจริงแท้ที่ว่า
ชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์จะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง
ไม่มีผู้ใดหรืออำนาจอื่นใดมาควบคุมกำหนดเบี่ยงเบนชีวิตของเราได้
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ และเผยแพร่ความจริงที่ยิ่งใหญ่
มีคนมากมายที่เชื่อกันผิดๆ ถึงขนาดว่าเชื่อว่า
เมื่อเกิดมาแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตไม่ได้ทั้งสิ้น…
เพราะโดยเทพผู้มีอำนาจลิขิตมาแล้ว เกิดมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
ไม่มีสิทธิพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง หรือตกต่ำลง
เชื่อว่าทั้งกดทั้งครอบตั้งแต่เกิดจนตายไป
“พระพุทธเจ้า” นั้นประสูติในพระราชวงศ์อยู่ในวรรณะกษัตริย์ด้วย
พระองค์น่าจะสะดวกสบายมากท่ามกลางความเพียบพร้อมทั้งปวง
ไม่ต้องมาระหกระเหินเดินดงเดินป่ามาตรัสรู้ ไม่ต้องเหนื่อยพระวรกาย
แต่พระพุทธเจ้าท่านสงสัยว่า “ชะตาชีวิต”
ของเหล่าสรรพสัตว์เป็นอย่างนี้ เขาเชื่อกันจริงหรือ?
พระพุทธองค์ทรงมาพิสูจน์ตรัสรู้ตนเองด้วยความพากเพียรยิ่งใหญ่
ด้วยพระมหาบุญบารมีที่สะสมมาหลายภพชาติ
พระพุทธองค์ก็ทรงค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ท่านทรงเมตตาสรรพสัตว์ให้รู้ถึงความจริงแท้นั้น
พระองค์เป็นผู้ปลดแอกความเชื่อเหล่านั้นให้ทุกคนรู้ว่า
คนเราทุกคนนั้นสามารถพัฒนาเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนกรรม
เปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองได้ด้วยการกระทำของตนเอง
ไม่มีใครมีอำนาจมาลิขิตชีวิตได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่วไป ไม่มีเทพ ไม่มีอำนาจ
ดวงคน ไม่มีอะไรทั้งสิ้นมาเบี่ยงเบนตัวตนของเราได้เลย
นอกจากกรรม หรือการกระทำของตนเองเท่านั้นจะเป็นผู้กำหนดชีวิตคนคนนั้นอย่างแท้จริง
ไม่มีเรื่องอะไรเป็นเหตุบังเอิญ ใครสร้างเหตุใดก็ต้องได้รับผลนั้น
ต้องมีเหตุกับปัจจัยทำให้เกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตั้ง หรือสร้างขึ้น
พระพุทธองค์เป็นเพียงแต่นำกฎธรรมชาติเหล่านี้มาสอนมาแสดงดังที่มีคำกล่าวว่า…
“ดั่งใบไม้ในกำมือ” มาสั่งสอนให้รู้เท่านั้น ศาสนาพุทธเปิดหนทาง
ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ ยังแนะว่าต้องมี “สติ”
ใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนค่อยเชื่อ อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเชื่อ
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน “กาลามสูตร” กล่าวคือ
“คนสองคน” ที่พบกันได้นั้นเพราะเป็น “บุพเพสันนิวาส” ไม่ใช่พรหมลิขิต…
ดวงจิตสองดวงที่เคยผูกพันกันมาแล้วมาพบกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
เป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนามาเป็น “ความรัก” จนเป็น “เนื้อคู่” และได้มาเป็น “คู่ครอง” กัน
ไม่ว่าจะเป็นคู่แบบไหน คู่บุญคู่กรรม คู่วิวาท หรือประเภทอื่นใดก็ต้องเริ่มจากความรักและ “บุพเพสันนิวาส”
ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ 2 ประการ
1.ด้วยเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
2.ด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
หลายท่านอาจสงสัยและอยากรู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า…ความรักเกิดขึ้นมานั้น
จะต้องมีการอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
และทำไมต้องเกื้อกูลช่วยเหลือกันมาด้วยในภพปัจจุบัน…
มาลองคิดตามดูว่า เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งมีชีวิต 2 สิ่งนั้นจะมามีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร
ถ้าสองสิ่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่เคยรู้จักกัน หรือช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันมาก่อน
ดั่งดอกบัวเกิดขึ้นมาจากน้ำและโคลนตม ดั่งกองไฟที่เผาไหม้ลุกโชนนั้นต้องมีฟืนต้องมีเชื้อปะทุไฟ
ถึงจะติดลุกพรึบมาได้ รถวิ่งไปวิ่งมาได้มันต้องมีเชื้อเพลิง
ร่างกายเคลื่อนไหวได้ต้องมีพลังงานมาสัมพันธ์มาสัมผัสกัน
คนเราสองคนถ้าไม่รู้จักกันแล้ว ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แม้พอจะรู้จัก
เห็นหน้าเห็นตา เดินสวนกันไปมา ทำงานในที่เดียวกัน หรือตึกเดียวกัน
กินข้าวร้านเดียวกัน กลับบ้านทางเดียวกัน นั่งรถเมล์ นั่งรถไฟฟ้า BTS คันเดียวกัน
แต่ไม่เคยที่จะนัดแนะมาพบปะกัน นั่งพูดคุยกัน มองตาซึ้งๆ กัน
ไปเที่ยวเฮฮา ดูหนังดูละคร ไปวัดไปวาด้วยกัน หรือทำ
กิจกรรมอะไรๆ ร่วมกัน และคนทั้งคู่จะไปพบรักอะไรกันได้ ความรักของคนทั้งคู่จะเกิดไหม
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ “แอบรัก” เขาข้างเดียวที่ต้องมีเหตุเกิดขึ้นเหมือนกัน :
เมื่อไม่ได้เกื้อกูลกันจะรักกันได้อย่างไร เพราะไม่มีเหตุให้เกิดเลยสักนิด
แล้วจะมีผลได้อย่างไร ไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป
ต้นไม้ดอกไม้ไหนจะงอกออกมา
โดยความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นพอพูดถึง “บุพเพสันนิวาส” แล้วคิดว่า “พรหมลิขิต”
มักจะมีความเป็นเรื่องเดียวกันคือเรื่องคนที่มาเจอกันได้รักกัน
เพราะมีอำนาจเหนือโลกหรือมีพรหมลิขิต หรือบังคับเอาไว้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
ถูกกำหนดมาแล้วในเรื่องลึกลับ แท้ที่จริงแล้วความหมายของ “บุพเพสันนิวาส” นี้นั้น
ช่วยมากกว่าที่เข้าใจในเรื่องที่เคยเป็นคู่กันมานั้นถูกต้องแล้ว แต่เป็นเพียงแค่หนึ่งในชีวิต
เพราะยังมีความสัมพันธ์ในแบบอื่น ที่ส่งผลให้มาพบกันและครองคู่กัน
หรือไม่ได้มาเป็นครองคู่กันเช่นความสัมพันธ์ระดับรองลงมา
เพราะ “บุพเพสันนิวาส” ยังกินความหมายเข้าไปถึงการที่คนทั้งคู่อาจจะได้เคยอยู่ร่วมกันในสถานะอื่นได้หมด
เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ศิษย์กับอาจารย์ บ่าวกับเจ้านาย
หรือในบางคู่ถึงขั้นเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยก็มี เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน
หรือคนที่เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตได้กลับมาทวงหนี้กรรม ที่เคยติดค้างกันไว้
หรือมาล้างแค้นโดยเฉพาะ ซึ่งมีหลายคู่ที่เจอแบบนี้ เพราะคำว่า “ทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ”
เป็นความหมายคือ คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) ที่ได้เคยทำอะไรร่วมกันมา จะเป็นกรรมดีก็ได้
กรรมไม่ดีก็ได้ เช่น เคยทำบุญร่วมกันมา เคยร่วมปล้นฆ่าคนมาด้วยกัน เคยทำร้ายกันและกันมา
เหมือนกับเพลงของ “ชาย เมืองสิงห์” ที่ว่า “ทำบุญร่วมชาติ” เป็นต้น
ดังนั้น เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จึงไม่จำเป็นว่าต้องเคยเป็นสามีหรือภรรยากันมาก่อนเท่านั้น
ไม่ใช่และไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ครองที่ดี หรือมีความสุขเสมอไป เพราะ “กรรม”
ที่ทำร่วมกันนั้น มีทั้ง “กรรมดี” และ “กรรมไม่ดี” คงหมดข้อสงสัยหรือสำหรับคนที่มีคู่ครอง
ที่รู้สึกบังคับทารุณทั้งด้านร่างกายและจิตใจแบบที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างกัน
เช่น ผัวฆ่าเมีย ฆ่าหมกส้วม ฆ่าหมกใต้ต้นไม้ เมียฆ่าผัว ผัวตีด้วยไม้กอล์ฟ
ฆ่าลูกเมียหมกถังขยะดังที่เห็นเป็นข่าว แบบไล่ฆ่ากัน รักไม่สมหวัง
หรือเกิดปัญหาร้าวฉานในครอบครัวถึงต้องลงมือปลิดชีวิตทั้งตนเองและคู่ครอง
มีอีกประเด็นหนึ่ง เราคงเคยรู้สึกว่า แค่พบครั้งแรกทำไมเหมือนรู้จักกันมานาน
หรือทำไมเนื้อคู่ของเราคนนี้มีหน้าตาเหมือนกัน คล้ายกัน เช่น จมูกใหญ่เหมือนกันกับเรา
มีอะไรเหมือนๆ คนเป็นพี่น้องกัน หรือทำไมคู่ครองของเราเขาเป็นคนดุ เข้มงวด เจ้ากี้เจ้าการ
บังคับเราในเกือบทุกเรื่อง บอกให้เราทำโน่นทำนี่ไม่หยุด
เหมือนกับเราเป็นลูกหรือเป็นคนใช้ ไม่ใช่สามีหรือภรรยา หลายคู่รักกันดีมาก
แต่ทำงานร่วมกันไม่ได้ หรือพอพูดแล้วมีเรื่องขัดแย้ง มีแต่เรื่องร้ายๆ
จนทำให้งานนั้นไม่ก้าวหน้าหรือพังพินาศ แต่พอแยกกันออกไปทำกับคนอื่น กลับรุ่งเรืองก็มี
ดูจากภายนอกหรือกายเนื้อ ตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นสามีภรรยาที่รักกัน
แต่ภายในกายทิพย์หรือจิตเดิมยังมีความอาฆาตพยาบาท ต้องการทำร้ายทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง
ยังไม่มีการอโหสิกรรม รวมถึงยังไม่มีการชดใช้และยังไม่ยุติส่งผลกรรมยังว่าส่งผลอยู่เรื่อยๆ
แม้บางครั้งจะไม่ตั้งใจแต่ก็มักเกิดเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกันได้ตลอด
หลายคนจึงสงสัยว่าทำไมกรรมที่เคยทำมาจึงยังส่งผลแม้เกิดในภพใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ ชื่อใหม่
จนจำไม่ได้แล้วว่าไปทำอะไรใครไว้แล้วผลกรรมตามหาเจอได้อย่างไร?
คำตอบคือ…กรรมที่เราทำไว้ ไม่ว่าภพชาติไหนก็ตามถูกบันทึกไว้ในดวงจิต
ไม่เคยหายไปไหนเลยแม้แต่กรรมเดียว และที่ตามมาส่งผลได้แม้ว่าจะเปลี่ยน “ร่าง”
เปลี่ยนภพไปแค่ไหนก็ยังตามทั้งนั้น เพราะอยู่ใน “ดวงจิต” นั่นเอง
เหมือนดุจว่าหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ถูกบันทึกไว้
เวลาจะถูกดึงมาใช้ด้วยพลังที่มีความแรงพอนั้นเอง เรียกว่า “เช็กบิล” นั้นเอง
มีคนจำนวนมากในยุคปัจจุบันเชื่อว่าเรื่องความรักเกิดจากพรหมลิขิตชักนำ :
พระพรหมท่านเป็นคนลิขิตบังคับเราให้คนมาพบกัน เจอกัน รักกัน
คนมาเป็นคู่ตุนาหงันในเรื่อง “พรหมลิขิต” นี้ท่านว่าน่าจะผันแปร ผิดทิศ
เลี้ยวลงคลองไปเลย เป็นเหตุให้บางคนเชื่อ เลยไม่คิดหาคู่ครอง
ไม่กล้าสานสัมพันธ์เกื้อกูลอะไรกับเนื้อคู่ของตนต่อ ทั้งๆ ที่ได้พบกันแล้ว
ได้กระตุ้นความสัมพันธ์เดิมไปแล้ว เพราะดันไปเชื่อเสียแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก
เดี๋ยวพระพรหมจัดมาให้เอง จึงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชาติ
เพราะขาดปัจจัยที่จะมาสนับสนุนเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิบายไว้ชัดเจนว่า :
…พระพรหมท่านนั้นคงไม่ไปลิขิตหรือมีอำนาจหน้าที่บังคับใครในโลกนี้
ไม่ว่าจะเรื่องจับคู่ หรือแม้แต่ไปกำหนดชะตาชีวิตอะไรเลย
แต่ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะลิขิตชีวิตคนได้ทุกคนมีสิ่งหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ “กรรม”
“กรรม” เป็นผู้กำหนดเอง เรื่องของความรัก เนื้อคู่ในแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเรื่องนั้นๆ
เป็นเรื่องของกรรมลิขิตส่วนนั้น การที่เคยอยู่ร่วมกันมาเป็น “กรรมเก่า
และในชาติปัจจุบันได้ใกล้ชิดกัน เกื้อกูลกันเป็น “กรรมใหม่”
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของพระพรหม หรืออำนาจเทพอะไร
ผู้เขียนเชื่อว่าเราๆ ท่านๆ แฟนๆ มติชนคงพอเข้าใจ “ความรักนั้นเกิดขึ้นด้วยเพราะเหตุใด?”
และทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ นั่นเพราะเราเป็น “เนื้อคู่กัน” เป็นเนื้อคู่แท้
เมื่อเจอกันแล้วปิ๊งกันทันทีไม่ต้องบอก ไม่พูดดูตาก็รู้ใจ เท่านี้ก็สุขแล้ว
ยิ่งมีโอกาสเข้าพิธีหมั้น เข้าสู่พิธีประตูวิวาห์ ก็หมายความว่าเขาเป็นคู่กันแล้วไม่แคล้วกันแล้ว
เป็นคู่ที่ดีมีความสุขมากๆ หรือแบบทุกข์น้อยๆ
อย่างไรก็ตาม ขออวยพรให้ทุกๆ ท่านที่ยังเป็นคี่ ยังไม่มีคู่ ขอได้พบคู่ “บุพเพสันนิวาส”
เกิด “ความรัก” ชอบพอกันเป็น “คู่บุญ” ที่แท้จริง จะได้ร่วมสร้างบุญสร้างกุศล
ทำให้มีความสุขในชีวิตคู่ตลอดไป ดัง “ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” ไงเล่าครับ
ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข