Custom Search

Sep 26, 2014

27 กันยายน 2557 วันคล้ายวันเกิด อ.ถวัลย์ ดัชนี



"วันสุดท้ายของพ่อ"
วันที่ 3 กันยายน 2557

วันนี้เป็นวันที่มีเรียนแต่เช้า ผมตื่นขึ้นมาบนโซฟาชั้นล่าง
เพราะไม่มีแรงแม้จะเดินขึ้นไปห้องนอน รีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน
ขณะนั่งรถไปในใจก็กลัวว่าจะไม่ทันเข้าห้องเรียน
รถก็ติดมาก และแล้วก็ไปถึงหน้าวัดพระแก้ว แต่มีความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ผมตัดสินใจบอก คนขับ Taxi ว่า "พี่ครับผมเปลี่ยนใจแล้วครับ
มุ่งหน้าตรงไปโรงพยาบาลเลยครับ" แล้วผมก็ฝากเพื่อนลาเรียน
พอไปถึงโรงพยาบาลผมตรงเข้าไปคุยกับหมอ "หมอครับพ่อผมจะอยู่ถึงวันที่ 27
ไหวมั้ยครับ? มันเป็นวันเกิดของพ่อพอดี หมอตอบว่า
ถ้าจะให้อยู่ถึงคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ!!! ต้องใส่ท่อพะรุงพะรัง ผมตอบว่า
งั้นอย่าทรมานพ่อเลยครับ
ให้ท่านเลือกวันที่จะไปด้วยตัวท่านเองดีกว่า!!!

จากนั้นผมก็รีบขึ้นไปบนห้อง
ICU ไปเยี่ยมพ่อตามปกติ วันนี้พ่อดูเพลียๆและหลับเป็นส่วนใหญ่
ผมนั่งรอข้างๆสักพักใหญ่ๆ จนพ่อลืมตาขึ้นมาดู แล้วผมเข้าไปหอมที่หน้าผาก
แล้วพูดข้างๆหูพ่อว่า "พ่อครับลูกรักพ่อนะ" พ่อพยักหน้ารับพร้อมกับทำเสียงว่า
อื่อ!!!" ผมยิ้มดีใจที่พ่อรับรู้ได้ ทุกครั้งที่ผมมาหาพ่อ ผมจะบอกว่ารักพ่อทุกๆวัน
บางวันพ่อก็ยิ้มหรือพยักหน้าให้ บางวันก็ตอบเป็นคำพูด


หลังจากที่ผมพูดเสร็จ
พ่อทำตาเบิกโพลง ผมพูดต่อว่า "พ่อครับพ่อไม่ต้องกังวลอะไรนะ พ่อพักผ่อนให้สบาย
ทุกอย่างที่พ่อทำไว้ลูกจะรักษามันไว้อย่างดี พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะ"
พ่อฟังแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดคลิปเสียงของแม่ให้พ่อฟัง
เป็นคลิปเสียงของแม่ที่ผมขอร้องให้แม่อโหสิกรรมให้พ่อในวาระสุดท้ายของชีวิต
ตั้งแต่แม่จากไปสามสิบกว่าปีที่พ่อไม่เคยได้ยินเสียงแม่อีกเลย

ใจความในคลิปพูดว่า
"ฮาโหล
หวัน ได้ข่าวว่าไม่สบาย หวังว่าเธออย่าไปคิดมาก อันนี้ถึงเวลาแล้ว
ตายอย่างสงบ ชั้นกับเธอก็มีลูกชายด้วยกันที่น่ารัก เค้าก็ดูแลเธอดี
ชีวิตที่ผ่านไปแล้วคือมันต้องผ่าน คือก็อย่าไปคิดมาก ไปอย่างสบายเถอะ สวัสดีนะจ๊ะ"
เสียงแม่ดังชัดเจนในห้องไอซียู พ่อตั้งใจฟังจนจบ แล้วตาก็มองเหลือบขึ้นด้านบน
ผมหอมที่หน้าผากอีกครั้ง แล้วบอกว่า
"พ่อนอนพักนะไม่ต้องกังวลอะไร"

จากนั้นผมก็นั่งอยู่กับพ่ออีกพัก
พอมั่นใจว่าพ่อหลับผมจึงกลับมาที่ออฟฟิสเพื่อจัดการเรื่องเงินเดือนพนักงาน ผมช้าไป
2 วันแล้ว พอทำอะไรเสร็จก็รีบกลับไปที่โรงพยาบาล ไปถึงช่วงค่ำๆเพราะรถติดมาก
คราวนี้เห็นพ่อใส่เครื่องช่วยหายใจแต่เป็นแบบที่ครอบจมูก อัดอ๊อกซิเจนเข้าไป
มันจะทำให้พ่อไม่เหนื่อยมาก แต่ไม่ใส่ท่อลงไปในคอ
ผมสังเกตุเห็นพ่อหายใจหอบดูท่าทางหายใจลำบาก เพราะน้ำในกระบังลม
และมะเร็งที่ลามไปที่ปอด พอครบ2ชั่วโมง
หมอจะให้พ่อเอาหน้ากากครอบออกเพราะมันจะรัดหน้าเป็นรอย
ช่วงนั้นก็สลับมาใส่หน้ากากอันเล็ก ผมสังเกตุเห็นพ่อหายใจลำบากมากขึ้น
ดูความดันลดลงเหลือ 98 ผมเริ่มใจไม่ดีออกมาเรียกพยาบาลให้ไปดู
พยาบาลสลับสายวัดมาเป็นแขนอีกข้าง จากแขนซ้ายมาเป็นแขนขวา
ปรากฎตั้งวัดอีกหลายรอบ
ผลออกมา 120 ผมก็สบายใจขึ้น

ผมนั่งอยู่กับพ่อจนถึงประมาณ
เที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง ผมดูสถานการณ์พ่อความดันแกว่งมากขึ้นๆลงๆ
ผมนั่งลุ้นตามองที่เครื่องวัดตลอดเวลา ว่าถ้ามันลงต่ำกว่า 90 ต้องฉีดยากระตุ้นแล้ว
ผมนั่งไปก็จับโทรศัพท์ขึ้นมานั่งพิมพ์ ข้อความบางอย่างว่า

"พ่อไม่ต้องกังวล
เพราะพ่อจะไม่ไปไหน พ่อจากไปแต่เพียงร่างกายแต่ผลงานศิลปะที่มาจากหัวใจ จิตวิญญาณ
และลมหายใจที่พ่อสร้างทิ้งไว้จะเป็นอมตะตลอดกาล พ่อคือผู้สร้างและลูกคือผู้รักษา
หลับให้สบายนะพ่อ เลือดของพ่อยังไหลเวียนในกายลูกเสมอ
และเราจะพบกัน...รักพ่อสุดหัวใจ"

ผมรู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็ว
พ่อก็ต้องจากผมไปแน่นอน ผมจึงเขียนข้อความนี้ขึ้นมาก่อน
สักพักผมรู้สึกหิวเพราะไม่ได้ทานข้าว จึงเดินออกมาหาอะไรกิน
เดิมทีตั้งใจจะไปฟู๊ดแลนด์ แต่มีความรู้สึกว่า ไม่อยากไปไหนไกล เป็นห่วงพ่อ
เลยซื้อลูกชิ้นทอดหน้าเซเว่นกินแทน นั่งกินสักพัก
ตานินหลานสาวซึ่งเป็นลูกของพี่ชายโทรมา บอกว่าวันนี้รู้สึกเป็นห่วงปู่หวันจัง
อยากมาหามาได้มั้ย?

ผมตอบว่าจะมาก็มาสิ
จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนกัน ผมใช้เวลากินลูกชิ้นทอด ประมาณ 10 นาที
จากนั้นตานินก็มาถึง ผมชวนขึ้นไปหาพ่อ
เราสองคนยืนมองพ่อหายใจหอบและดูท่าทางเหนื่อยมาก สักพักพยาบาลเข้ามาเรียกผม
แล้วบอกว่าคุณพ่อชีพจรเต้นช้าลง จะให้ปั๊มหัวใจช่วยชีวิตมั้ย?

ผมถามกลับไปว่าต้องทำยังบ้าง
หมอบอกว่า "ต้องยัดท่อลงไปในคอ พ่ออาจจะทรมานและอาจจะเกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดเพราะ
พ่อเป็นตับอยู่ และหมอก็ไม่รับรองว่าจะฟื้นหรือไม่ ผมก็บอกว่าถ้างั้นอย่าทำเลยครับ"
ผมกลับเข้าไปในห้องจับมือพ่อไว้ ตานินก็อยู่ด้วยสักพักพี่อ้อดลงมาพอดี
เราสามคนอยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้ายของพ่อ ผมจับมือพ่อไว้แน่น
ตาก็มองที่จอมอนิเตอร์ที่ตัวเลขของชีพจรค่อยๆลดลงจาก 110-90-60-60-40-30-20-10-0
จนเสียงเสียงดัง ติ๊ดดดดดดดดดด เครื่องร้องดังพร้อมกับเสียงพวกเราสามคนร้องไห้โฮ
ผมจับมือพ่อไว้แน่นทรุดตัวลงหอมที่หน้าผาก แล้วบอกพ่อว่า"ลูกรักพ่อนะ
หลับให้สบายนะพ่อนะ" ผมปล่อยมือแล้วก้มลงกราบที่เท้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
และขอใช้เวลาอยู่กับพ่อสองคนโดยไม่มีใครรบกวน
ระหว่างนั้นผมขอให้พี่อ้อดกับตานินกลับไปจัดเตรียมชุดที่จะใส่ให้พ่อ ในวาระสุดท้าย
ผมนั่งลงแล้วจับมือพ่ออีกครั้ง พร้อมกับถ่ายรูปมือผมกับพ่อเก็บไว้เป็นครั้งสุดท้าย
ผมคลายเคราของพ่อที่ถูกมัดไว้
ออกหยิบเอาหวีขึ้นมาหวีผมและเคราให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย พ่อจากเราไปตอน ตี2.15 นาที
ของวันที่3 กันยายน พ.ศ.2557 และผมได้โพสบอกข่าวในเฟสบุ๊คตอน ตี2.30
วันนี้ตรงกับเกิดของผม คือวันที่ 3 เช่นกัน
ผมสังหรใจอยู่แล้วว่าพ่อจะต้องจากไปในวันที่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันในชีวิตของผม
พ่อรู้ว่าผมชอบเลข3มาก ทุกอย่างในชีวิตของผมเป็น 3 หมด ตั้งแต่เลขที่บ้าน ทะเบียนรถ
เบอร์โทรศัพท์ ตอนพ่อเป็นเบาหวานหนัก
มีครั้งนึงตอนตรวจวัดน้ำตาลในเลือดมันออกมาเป็น 333 ผมยังขำแล้วบอกพ่อว่า
"นี่พ่อเอาใจลูกขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย" เราหัวเราะกันอย่างมีความสุข
และแล้ววันนี้พ่อจากไปในวันที่ 3 กันยา อีกเพียง 1 เดือนจะถึงวันเกิดผม ในวันที่ 3
ตุลา จากนั้นเราแต่งตัวให้พ่ออย่างสง่างาม ในชุดสีขาวเป็นชุดของ NAGARA
เป็นลายที่ผมออกแบบ และใส่บูทหนังงูคู่เก่งของพ่อ ผมหวีผมให้พ่ออีกครั้ง
พ่อถูกนำศพไปเก็บไว้ที่ห้องเย็นหมายเลข3 อย่างบังเอิญ

พ่อจากไปอย่างสงบ
สง่างาม ไร้ที่ติ ชีวิตตั้งแต่ลมหายใจแรกจนลมหายใจสุดท้าย พ่อมีชีวิตอยู่อย่างทรนง
องอาจ กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดให้เห็น
หรือบ่นพร่ำรำพันในความยากลำบาก
พ่อคือตัวอย่างของคนทำงานศิลปะซึ่งในชีวิตทำเพียงอย่างเดียวคือ"ศิลปะ"
ชีวิตของพ่อคือกวีไฮกุ เรียบง่าย แต่สง่างาม
ลมหายใจขิงพ่อคือศิลปะที่ได้รังสรรค์ทิ้งไว้

ขอบคุณพ่อที่รักและดูแลผมจนเติบใหญ่
นับแต่นี้ไปผมจะเป็นคนดูแลและรักษาลมหายใจของพ่อต่อเอง
ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ลมหายใจของพ่อจะคงอยู่เป็นอมตะจนกว่าแผ่นดินนี้จะแตกดับ
ผมจะดูแลและรักษามันไว้เยี่ยงลมหายใจของตัวเอง

ด้วยรักและอาลัยยิ่ง
ร่วมใจกันส่งพ่อในพิธีพระราชทานเพลิงศพ
ในวันพรุ่งนี้
ดอยธิเบศร์ ดัชนี
9/9/2557