Custom Search

Sep 15, 2018

อัจฉริยะ จากวิศวกร สู่นักผดุงความยุติธรรม ลั่น! พร้อมตายทุกเมื่อ


เปิดใจ "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" พร้อมชี้แจงข้อกล่าวหา "ตบทรัพย์"
"อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ทุกวันนี้ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูและเป็นที่รู้จักของประชาชน จากบทบาทของเขาในฐานะ "ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม"

โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาชนเริ่มรู้จักเขาก็คือ "คดีครูจอมทรัพย์" ที่ขณะนั้นกระแสร้อนแรงว่านางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู เป็น "แพะ" ในคดีขับรถชนคนตายโดยประมาท แต่เขากลับออกมาทวนกระแส ระบุว่าครูจอมทรัพย์ เป็น "แกะ" ไม่ใช่ "แพะ" และมี "ขบวนการรับจ้างติดคุก"
ล่าสุดเขาก็ออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับ "เครือข่ายค้ากามเด็กแม่ฮ่องสอน" เนื่องจากเป็นคนหนึ่งที่ลงพื้นที่ไปรวบรวมข้อมูล

แต่ขณะเดียวกันในระยะหลังมานี้ ก็มีข่าวที่ออกมาในทางที่เสียหายต่อตัวเขา และเริ่มสงสัยเคลือบแคลงกับการทำงานในฐานะประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่าช่วยเหลือสังคมจริงหรือเปล่า มีการหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ 

"อัจฉริยะ" พร้อมตอบทุกข้อสงสัย 

#เป็นวิศวกร แต่ทำไมมาทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและทำมานานแค่ไหนแล้ว 
ที่ผมมาทำงานด้านนี้ เพราะมีแรงจูงใจจากการที่ผมตกเป็นเหยื่อตำรวจ ถูกกลั่นแกล้ง ตอนนั้นผมทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ทั้งที่ผมถูกโกง ผมทำงานด้านนี้ปีที่ 7 แล้ว เป็นผู้ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและเป็นประธานชมรมมาตั้งแต่ต้น ช่วยเหลือประชาชนมานับพันคดี 

#ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม มีโครงสร้างการทำงานอย่างไร 
นอกจากผมที่เป็นประธานและผู้ก่อตั้งแล้ว ก็มีกรรมการคนอื่นด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีใครบ้าง เพราะเขาไม่อยากให้เปิดเผย มันเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย และก็มีสมาชิกที่เป็นตำรวจด้วย มีทั้งที่เกษียณแล้วและยังรับราชการอยู่ 

#สมาชิกที่เป็นตำรวจช่วยเหลือในด้านการให้เบาะแส หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่มีผู้มาร้องขอความช่วยเหลือกับทางชมรมหรือไม่ 
ไม่เกี่ยวกับการให้เบาะแสหรือข้อมูลเกี่ยวกับคดี เพราะเรามีเครือข่ายของเราเองในการหาเบาะแส ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องพึ่งตำรวจ แต่การที่ชมรมมีสมาชิกเป็นตำรวจ ทำให้ได้รับการอำนวยความสะดวกมากขึ้น คดีที่มีผู้ร้องขอความช่วยเหลือรวดเร็วขึ้น 

#ชมรมฯมีรายได้จากอะไร 
รายได้หลักก็มาจากการรับว่าความและการทำคดี คือ 20 % ของค่าทนายความ จะนำเข้าชมรม นอกนั้นก็เป็นเงินค่าบำรุงที่เก็บจากสมาชิกที่พอมีเงิน ซึ่งเป็นการจ่ายโดยสมัครใจไม่ได้ไปบังคับ ค่าบำรุงคนละ 500 บาท ต่อปี ซึ่งตอนนี้มีสมาชิกที่จ่ายเงินค่าบำรุงอยู่ประมาณ 100 คน จะเห็นได้ว่า เมื่อรวมแล้ว ก็เป็นจำนวนเงินไม่มาก เงินที่ชมรมฯได้มา ก็นำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชนด้านคดี ‘ผมเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ผิดตรงไหน’ 

#ชมรมฯ เก็บเงินจากคนที่มาขอความช่วยเหลือด้านคดีด้วยหรือ 
เราไม่ใช่มูลนิธิ มูลนิธิ เขามีเงินช่วยเหลือจากเอ็นจีโอ แต่ชมรมเรา คนมาบริจาคเงินให้ฟรีๆยังไม่มีเลย จะให้ผมควักกระเป๋าเองกับทุกคดีที่มาขอความช่วยเหลือได้อย่างไร ทุกวันนี้ยังยากจนอยู่เลย แต่ไม่ใช่เราไม่ทำคดีฟรีให้เลย ถ้าเป็นคนยากจน ไม่มีเงินจริงๆ หรือ คนพิการ เราก็ช่วยฟรีไม่คิดเงิน รวมทั้งคดีใน กทม.และปริมณฑล ที่ไม่ต้องเดินทางไปจังหวัดไกลๆ เราก็ทำให้ฟรี 

#ตัวคุณอัจฉริยะ ทำอาชีพอื่นด้วยหรือเปล่า 
ผมทำงานด้านนี้อย่างเดียวเลย 

#แล้วดำรงชีพได้อย่างไร คนเราต้องกินต้องใช้ 
ก็คนที่พอมีเงิน ที่มาขอความช่วยเหลือด้านคดีกับเรา เวลาผมเดินทางไปศาล เขาก็ให้เงินบ้างเป็นครั้งๆไป หรือถ้าเราทำคดีได้จนเป็นที่พอใจของเขาระดับหนึ่ง เขาก็ยิบหยื่นเงินมาให้เป็นสินน้ำใจตอบแทน 

#เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปแสวงหาประโยชน์ เช่น ตบทรัพย์ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือ ตำรวจ หรือเปล่า 
ผมไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนั้น ผมทำงานด้านนี้มาตั้งนาน ถ้าผมมีพฤติกรรมอย่างที่ว่า คุณคิดว่าผมจะรอดหรือ โดนแฉไปนานแล้ว ไม่ว่าจากผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือ ตำรวจ แต่นี่ไม่มีเลย ก็เพราะผม 

ไม่เคยไปตบทรัพย์ใคร ผมจะไปยักยอกของกลางได้อย่างไรเพราะผมไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และผมจะไปวิ่งเต้นล้มคดีให้ใครได้ ผมจะมีสิทธิไปสั่งผู้ใหญ่ที่ไหนได้ และผมก็ไม่ใช่เด็กตำรวจ ไม่เคยรับเงินจากตำรวจแม้แต่บาทเดียว ว่ามาเลยคดีไหนผมทำมาหากินกับตำรวจ เอาหลักฐานมา ที่ผ่านมาผมดำเนินคดีกับตำรวจตั้งหลายคน โดนออกจากราชการก็มี ถ้าผมรับเงินจากตำรวจ หรือว่ามีพฤติกรรมไม่ดี ตำรวจก็ต้องออกมาเล่นงานผมแล้ว ก็ต้องมีการถ่ายคลิปไว้แล้ว แต่ไม่มีเลย 

"เอาอย่างนี้ มาตรวจสอบทรัพย์สินผมก็ได้ ใครก็ได้มาตรวจสอบเลย จะได้เห็นว่ามีแต่หนี้สิน จะหมดตัวอยู่แล้ว ถ้าไปเรียกทรัพย์สินเขา จะมีหนี้เยอะอย่างนี้หรือ ทุกวันนี้ยังยากจนอยู่เลย ทำงานด้านนี้ เสี่ยงชีวิต, ถูกฟ้องร้อง ,เงินก็เสีย ลูกเคยมากราบขอร้องให้ผมเลิกทำงานช่วยสังคมเสียทีเถอะ แต่ผมต้องทำต่อไปเพราะมีผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังขอไว้ ให้ทำต่อไป ผมเองก็เข้าใจดีว่า คนที่เป็นนักรบ ย่อมได้รับบาดเจ็บบ้าง คนทีี่เป็นบุคคลสาธารณะถ้ามีแต่คนรัก ไม่มีคนเกลียดเลย ก็เป็นเรื่องผิดปกติ ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ จะทำหน้าที่ต่อไปเพื่อสังคม" 

#กรณีเจ้าของเพจชื่อดังให้สัมภาษณ์ว่ามีบุคคลคนหนึ่ง ให้ข้อมูลเท็จและสร้างความปั่นป่วนเกี่ยวกับคดีค้ากามเด็กแม่ฮ่องสอน ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้โดยไม่มีสิทธิ และมีการเอารูปเด็กที่เป็นเหยื่อมีรอยสักรูปนกฮูก ไปลงตามโซเชียล ไม่มีการปิดใบหน้าด้วยและบุคคลดังกล่าวยังเอารูปแม่เด็กเหยื่อ อุ้มเงินอยู่บนตักไปขึ้นเพจของตัวเอง เหมือนกับต้องการให้คนเข้าใจว่า ได้รับเงินส่วนแบ่งมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เหตุเป็นเพราะแม่เด็กไม่ยอมให้ดูแลคดีนี้ เป็นคนที่พร้อมที่จะทำลายคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และก่อปัญหาให้กับบุคลที่เป็นเหยื่ออาชญกรรมตรงข้ามกับชมรมที่ตั้งขึ้นมา 

ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเอารูปเด็กที่มีรอยสักลงบนโซเชียล น่าจะเป็นไลน์กลุ่มตำรวจ เพราะว่าผมเคยเห็นรูปเด็กในลักษณะนี้จากกลุ่มไลน์ตำรวจ และรอยสักนกฮูก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับขบวนการเหยื่อค้ากาม ผมเคยคุยกับเด็กที่เป็นเหยื่อมาแล้ว เขาบอกว่าสักลายนกฮูกเพราะชอบ เป็นเรื่องของความโก้เก๋ และเป็นเรื่องของโชคลาง ส่วนภาพที่แม่เด็กเหยื่ออุ้มเงินนั้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเพจผม ไปดูได้เลยเพจผมไม่มีรูปดังกล่าวเลย ส่วนการออกมาเปิดเผยของผมเกี่ยวกับคดีนี้ ก็เพราะผมเป็นคนลงพื้นที่ไปรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ต้น และเรื่องที่ผมนำมาเปิดเผย ก็จะเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น มีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่เรื่องเท็จ ผมจึงมีสิทธิที่จะให้ข้อเท็จจริงต่อประชาชน และตั้งแต่ผมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมา ผมไม่เคยสร้างปัญหาให้กับเหยื่อ 

"เพจดังกล่าว เขาเล่นงานผมมานานแล้ว เหตุก็เพราะไม่พอใจ ที่เคยขอผมในบางเรื่อง แต่ผมไม่ยอมตามใจเขา" 

#กรณีแม่เด็กเหยื่อค้ากาม ระบุว่า มีการเรียกเงิน 15,000 บาท เป็นค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน 
ชมรมฯไม่มีเงินค่าใช้จ่ายให้ในการเดินทางไปต่างจังหวัด และทางแม่ผู้เสียหายเสนอให้เอง และยังเอารูปมาให้ผมดูว่าเป็นคนมีเงิน เราคิดค่าใช้จ่ายวันละ 5,000บาท ลงพื้นที่ 3 วัน ก็ 15,000บาท 

#กรณีแม่เด็ก ออกมาพูดทำนองว่า มีการเสนอให้รับเงินแล้วจบ 
ผมพูดกับตำรวจนายหนึ่งว่า ให้ไปบอกแม่เด็กว่า อย่าไปรับเงินใครเขาเด็ดขาด เพราะว่าอาจเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ ผมไม่เคยพูดกับแม่เด็กว่าให้รับเงินแล้วจบ 

ประวัติย่อ 
"อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ปัจจุบันอายุ 50 ปี จบการศึกษาด้านวิศวกรโยธา จากมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ รุ่นที่ 1 จบการศึกษาปี 2531 เป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 

เป็นผู้ก่อตั้ง‘ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ’ขึ้นในปี 2552 และดำรงตำแหน่งประธานชมรมมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน 
ผลงาน อาทิ 
-ช่วยเหลือผู้เสียหายจากสหรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น 
-ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการซื้อรถฟอร์ด รุ่นเฟียสต้าและรุ่นโฟกัส ที่มีปัญหาระบบเกียร์ 
-ชมรมฯ เป็นพยานโจทก์ปากสำคัญในคดีหนึ่งที่มีการฟ้องผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูงตาม มาตรา 112