Custom Search

Sep 23, 2008

รับภัยเศรษฐกิจสหรัฐ รู้พอเพียงถึงจะรอด

ไทยรัฐ
24 ก.ย. 51
ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=105186

“ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น ถ้าเปรียบเทียบเป็นการชกมวยสากล ต้องบอกว่า การชกยังไม่ครบ 12 ยก ตอนนี้แค่ยกที่ 6 เท่านั้น ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของวิกฤติแต่อย่างใด”
ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมกราคม 2551 ได้ชี้ให้เห็นว่า


ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯยังอยู่ในขั้นยกที่ 2 ขณะนั้น ธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ซิตี้แบงก์
หรือซิตี้กรุ๊ป และ บริษัท เมอร์ริล ลินซ์ ประสบปัญหาขาดทุน
จากหนี้เน่ามหาศาลในการปล่อยกู้ให้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่รู้จักกันในชื่อ “ซับไพร์ม”
จนต้องซมซานให้กลุ่มธุรกิจจากสิงคโปร์ และโลกอาหรับ ขนเงินเข้ามาช่วยอุ้มชูกิจการ
เป็นแค่ยกที่ 2 เทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจไทย เมื่อปี 2540

ก็คือ... รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กำลังอยู่ในขั้นจะตัดสินใจว่า
จะปิด 58 สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จนเกิดหนี้เน่า ดีหรือไม่ และปัญหาวิกฤติซับไพร์มที่ลุกลามมาถึงจุดที่บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ จากภาวะล้มละลาย กับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือเอไอจี
เจ๊งไม่เป็นท่า... จนธนาคารกลางสหรัฐฯต้องเข้าไปอุ้มกิจการให้อยู่รอด...อันเป็นยกที่ 6 นั้น
ไม่ต่างกับเหตุการณ์รัฐบาลไทยในยุคต้มยำกุ้งตัดสินใจปิดสถาบันการเงิน
จนก่อให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งตามมาในยก 12 นั่นแหละ

แต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ดร.สมภพ บอกว่า ยกที่ 12 จะไม่มาเร็วเหมือนอย่างวิกฤติต้มยำกุ้ง ด้วยศักยภาพความสามารถ
ด้านการเงินของไทยกับสหรัฐฯต่างกันลิบลับ

“แม้ยกที่ 12 ยังมาไม่ถึง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
และเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่น้อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
เป็นสัญญาณเตือนบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่าต่อไป คนจะจนกันทั้งโลก
ไม่เพียงแต่สหรัฐฯเท่านั้นที่จนลง ปัญหาวิกฤตินี้ได้ลุกลามไปในหลายประเทศ

อังกฤษมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีเท่ากับศูนย์ เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น
อัตราการเติบโตของจีดีพีติดลบ 5 ประเทศนี้มีความสำคัญต่อการทำมาค้าขายของโลกมาก เพราะสั่งสินค้าเข้าประเทศมากถึง 2 ใน 3 ของโลก”
เมื่อประเทศเหล่านี้จนลง การสั่งซื้อสินค้าลดลง...ประเทศไทยเจอปัญหาขายสินค้าไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นปัญหาอันดับแรก ที่ ดร.สมภพ บอกว่า จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
และกระทบไม่ใช่น้อย เศรษฐกิจของประเทศไทยเน้นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
จนทุกวันนี้ การส่งออกเป็นเสาหลักเกือบจะเสาเดียว
ที่ค้ำชูเศรษฐกิจประเทศไม่ให้หกคะเมน
ไม่เพียงเราจะขายสินค้าให้กับ 5 ประเทศผู้นำของโลกไม่ได้เท่านั้น
การขายสินค้าให้กับประเทศอื่นๆ ประเทศเล็กๆ ประเทศเพิ่งจะเกิดใหม่
ที่เราเพิ่งจะรู้จักทำมาค้าขายด้วย เราก็จะขายได้น้อยลงเหมือนกัน
เนื่องจากประเทศที่เกิดใหม่ หันมาค้าขาย มาซื้อสินค้าจากเรา
เพราะเขามีเงิน มีรายได้มาจากการขายสินค้าให้กับ 5 ประเทศยักษ์ใหญ่เหล่านั้นเหมือนกัน
เมื่อ 5 ประเทศนั้นจนลง ประเทศเกิดใหม่ขายของไม่ได้ ก็ไม่มีเงินมาซื้อสินค้าจากเรา
เรียกว่า ส่งผลกระทบทำให้ยากจนกันไปทั้งโลกกันเลยทีเดียว

นับจากนี้ไป ดร.สมภพมองว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะหวังพึ่งพาการส่งออกเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว นโยบายเศรษฐกิจต้องเน้นการลงทุนภายในประเทศ
และส่งเสริมการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น

“แต่ต้องไม่ใช่ส่งเสริมการบริโภคแบบประชานิยม ลดแลกแจกแถม
หาคะแนนเสียงเหมือนที่ผ่านมา เพราะไม่ได้เป็นการส่งเสริมการสร้างงาน
สร้างรายได้แบบยั่งยืน
ถ้าจะแจกก็ให้แจกแบบพระเวสสันดร เอาทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองไปบริจาคได้

ไม่มีใครว่า แต่อย่าเอาเงินภาษีของคนส่วนใหญ่ไปแจก
เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศชาติ และประชาชนผู้เสียภาษี”

ไม่เพียงแต่ภาครัฐเท่านั้นที่จะต้องปรับตัว ภาคประชาชนก็ปรับตัวรับวิกฤตินี้เช่นกัน
สิ่งที่จะเกิดผลกระทบตามมาของวิกฤติครั้งนี้ก็คือ
บริษัทต่างชาติที่มาลงทุนในบ้านเรา จะรีบทยอยขายสินทรัพย์ต่างๆ
เพื่อเอาเงินไปช่วยเหลือในบริษัทแม่ จะมีการเทขายเงินบาท
กว้านซื้อดอลลาร์อย่างเกิดขึ้น
จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ดอลลาร์แข็งตัว ในบางครั้งบางคราว
อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน...เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่
แต่ทำไมดอลลาร์ถึงได้แข็งค่าเงินบาทอ่อน
นั่นเป็นเพราะบริษัทที่มาลงทุนต่างกว้านซื้อดอลลาร์เอากลับไปจุนเจือ
บริษัทแม่ในสหรัฐฯ
นับแต่นี้ต่อไปจะเกิดความผันผวนทางการเงิน และธุรกิจเก็งกำไรรุนแรง
และมีความเสี่ยงสูง...ฉะนั้นแมลงหวี่ แมลงเม่าทั้งหลายระวังให้ดี

ในสถานการณ์ที่บริษัทโบรกเกอร์ยักษ์ ผู้เชี่ยวศึกการปั่นหุ้น ปั่นราคา
ตกอยู่สภาพใกล้หมดตัวอย่างนี้ การปั่นราคา เก็งกำไรต่างๆ
จะเกิดขึ้นแบบเหนือความคาดหมาย...
มิต่างอะไรกับลีลาการเล่นฟุตบอลตุกติกของทีมเกาหลี
ที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาเงิน เอากำไรไปอุดโปะหน้าตักตัวเอง
แมลงเม่าที่รู้ไม่เท่าทัน ถูกไฟเผาเป็นจุณ
กระนั้นก็ตาม ในวิกฤติยังมีโอกาสซ่อนอยู่...
ตอนนี้ใครที่คิดจะซื้อบ้าน ซื้อคอนโดฯ ดร.สมภพ บอกว่า
ให้เก็บเงินให้กับตัวก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ
ปลายปีนี้ ต้นปีหน้าได้เห็นบ้าน คอนโดฯลดกระหน่ำรับปีใหม่...
เมื่อบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนร้อนเงิน เทขายสินทรัพย์ขนเงินกลับไปช่วยบริษัทแม่
ส่วนภาคเกษตรรากหญ้า...มีคำแนะนำ
ต้องหันให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้มากขึ้น
“เมื่อคนจนลงทั้งโลก คนซื้อสินค้าน้อยลง
ราคาสินค้าเกษตรจะไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา
เกษตรกรต้องรู้จักการบริหารความเสี่ยง อย่าคิดแต่ปลูกพืชชนิดเดียว
หวังได้เงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะจะขาดทุน
ต้องยึดแนวเศรษฐกิจแบบพอเพียง กระจายความเสี่ยงโดยปลูกพืชหลายชนิด

รวมทั้งหยุดคิดว่า จะปลูกเพื่อขายอย่างเดียว ต้องคิดแบบพอเพียง
ปลูกไว้ให้ตัวเองมีกินมีใช้ไว้ก่อน ที่เหลือถึงจะขาย ถึงฝ่าฟันวิกฤติไปได้”

และที่สำคัญเหนืออื่นใด รัฐบาลชุดใหม่ ทีมงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมารับงาน...จะใช้มือสมัครเล่นไม่ได้อีกต่อไป
วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ลามลุกไปทั่วโลกในขณะนี้...ถึงจะอยู่ที่ยก 6 ก็ตาม
แต่ไม่แน่ว่า ศึกครั้งนี้จะต่อยกันครบ 12 ยกหรือเปล่า
ถ้าครบ 12 ยก...ประเทศไทยยังพอมีเวลาปรับตัว
แต่ถ้าครบไม่ครบ 12 มีการน็อกขึ้นมาก่อน...เราอาจจะรับมือไม่ทัน
จะครบไม่ครบ 12 ยก ดร.สมภพ แนะให้จับตา 2 บริษัทยักษ์ใหญ่
ถัดมาว่า จะมีอาการส่อไปในทิศทางใด นั่นก็คือ...
มอร์แกน สแตนเลย์ กับ โกลด์แมน แซกส์
สองยักษ์ใหญ่นี้ล้มเมื่อไร เตรียมตัวเตรียมใจให้ดี
ประเทศชาติได้รัฐมนตรีงั้นๆ วิกฤติ 2540 ที่ว่าแน่...จะเป็นแค่จิ๊บๆ.