Custom Search

Jan 6, 2008

บทเรียนชีวิต พิชิต กุลเกียรติเดช "ผมมีวันนี้ได้เพราะสติ"

สกุณา ประยูรศุข
มติชน
23 ธันวาคม พ.ศ. 2550
ปีที่ 30 ฉบับที่ 10879

หลายสิบปีที่เขาเดินบนถนนแห่งความโชคร้าย ท้อแท้ และสิ้นหวัง!
เขาพยายามจะวิ่งหนีสิ่งเหล่านั้น...แต่ทันทีที่เขาหยุดพัก
ความโชคร้าย ท้อแท้ และสิ้นหวังก็ไล่ตามมาทัน
เขาจึงสั่งสมประสบการณ์จากความโชคร้าย ท้อแท้
และสิ้นหวังเหล่านั้น
จนรู้ว่า...แท้จริงแล้วคนเราต้องมี "สติ"
มี "สติ" ในการดำเนินชีวิต
มี "สติ" รู้จักแยกแยะปัญหา-แก้ไขปัญหา

"สติคือสิ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้" 
เขาหมายถึงวันที่เป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่ามากกว่า 100 ล้าน
ประกอบด้วยกิจการเรือยอชต์สำราญล่องน้ำเจ้าพระยาชื่อ 
แกรนด์ เพิร์ล จำนวน 3 ลำ และภัตตาคารอาหารฝรั่งเศส 
ลา กรองด์ แปร์ ที่ริเวอร์ ซิตี้ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พิชิต ปัจจุบันอายุ 52 ปี เกิดเมื่อปี 2498
ในครอบครัวชนชั้นกลางย่านสำเหร่ กทม.
พ่อแม่เปิดร้านขายของ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน
เขาเป็นคนที่ 4
ความโชคร้ายเริ่มย่างกรายสู่ชีวิตเขาตั้งแต่วัยหนุ่ม
เริ่มด้วยการติดยาเสพติดที่มาจากกลุ่มเพื่อน
ต่อมาต้องติดคุกติดตะรางเพราะความเข้าใจผิด
และเมื่อหันเหไปทำธุรกิจ
ก็ยังถูกหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว
แม้แต่ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายังนอกใจ
เรื่องราวหดหู่เหล่านี้เขาผ่านมาได้อย่างไร?

เจ้าของบทเรียนชีวิตบทนี้ขอฝากไว้เป็น..อุทาหรณ์

- ทำไมเกิดมาโชคร้ายอย่างนี้?
อาจเป็นเพราะชาติปางก่อนที่ทำไว้หรือเปล่าไม่รู้ เราโชคร้าย เราซวยติดคุกติดตะรางโดยที่เราไม่ได้ผิดแล้วพ่อแม่ก็ส่งไปอยู่เมืองนอก เป็นคนเดียวในครอบครัวที่ถูกส่งไป

- ไปที่ไหน?
ไต้หวัน-เรื่องร้ายๆ มันเริ่มจากตอนทำวงดนตรีกับเพื่อน ช่วงนั้นมียาเสพติดเข้ามาด้วยเพื่อนผมหลายคนตกเป็นทาสมันผมเองไม่อยากเห็นเพื่อนมีสภาพอย่างนั้น ก็จะพิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่าของอย่างนี้มันไม่ติดก็ได้ แต่พอพิสูจน์บ่อยครั้งขึ้นผมเลยพลัดหลงไปกับมัน

- แล้วเรื่องติดคุก?
มันก็บานปลายมาจากเพื่อนผมไปทะเลาะกับจิ๊กโก๋ต่างถิ่นแล้วยิงกัน
ผมเห็นจิ๊กโก๋ถูกยิงต่อหน้าก็เข้าไปช่วยจะพาส่งโรงพยาบาล
แต่ชาวบ้านที่ออกมาดูหาว่าผมเป็นคนยิง ผมวิ่งหนี ตอนเช้าตำรวจไปจับผมที่บ้านทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด อยู่ที่คลองเปรม 3 เดือนชีวิตในคุกมันหดหู่ ลำบากมาก ที่บ้านช่วยเหลือจนได้รับการปล่อยตัว วันที่ผมเดินออกจากประตูคุก ผมดีใจจนน้ำตาไหลบอกตัวเองว่า
"กูจะทิ้งอดีตอันเลวร้ายไว้ที่นี่ให้หมด"

- จากนั้นไปอยู่ไต้หวัน
ครับ พอดีพ่อมีเพื่อนที่นั่นเป็นคนรู้จักกันก็ฝากฝังให้ดูแลเพราะเราไม่รู้จักใครเลย เขาให้ไปอยู่โรงเรียนประจำชื่อ "ฉิว ซือเป็นโรงเรียนของภริยาเจียง ไค เช็ค เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดแพงที่สุด บ้านของคนรู้จักที่นั่นเขารวยมากแต่ให้ผมอยู่ห้องเก็บของฝุ่นคลั่ก มีที่นอนเล็กๆ และตู้เสื้อผ้าแบบรูดซิป ตอนนั้นอายุ 19 ไปอยู่ 5 ปี

- เรียนจบไหม?
ไม่จบ คือพอดีตอนนั้นที่บ้านเขามาทำโรงงานทอผ้ากัน
ผมไม่รู้จะเรียนอะไรเลยเรียนทอผ้าดีกว่า ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องทอผ้าเลย
ไปเรียนคณะวิศวกรรมทอผ้า ที่มหาวิทยาลัยหงเจี่ย แต่ไม่ค่อยเอาใจใส่ ชอบสนุก เที่ยวมากกว่าและชอบเอ็นเตอร์เทนสาวๆ แต่ดีที่เราได้ภาษาจีนเพราะเรียนมาตั้งแต่ 7 ขวบ ที่เก่งคือเขียนพู่กันจีน จะชอบมาก

- เดี๋ยวนี้ยังเขียนได้อยู่หรือเปล่า?
เขียนได้ครับ คิดว่าจะไปลองดูเหมือนกัน เพราะไม่ได้เขียนมาหลายสิบปีแล้ว

- เรียนไม่จบแล้วกลับมาเมืองไทยทำอะไร?
ที่ต้องกลับเมืองไทยเพราะผมมีภรรยา มันเป็นอุบัติเหตุบังเอิญเขาตั้งครรภ์ผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง คิดว่าถ้าเรียนต่อคงไม่มีอะไรไม่มีความสุขแน่ จะเอาเงินที่ไหนไปส่งเสียเขา แล้วเขาจะอยู่ยังไง สังคมจะมองเขายังไงเลยตัดสินใจพาเขากลับมาเมืองไทยตอนแรกพ่อเขา-พ่อตาผมจะให้เอาเด็กออกผมไม่ยอมบอกเขาว่าผมจะรับผิดชอบเอง ภรรยาผมเขาโผเข้ามากอดเลย ซาบซึ้งมากเพราะทีแรกเขามองผมว่าเป็นคนไม่รับผิดชอบ เป็นเพลย์บอย

- กลับมาอยู่กับพ่อแม่ตามเดิม
ครับ ต้องอาศัยท่าน แล้วผมก็ช่วยพ่อขายของ ทำงานทุกอย่างในร้าน ตอนหลังพี่ชายไปเปิดโรงงานแต่ผมยังช่วยพ่ออยู่ เพราะอยากสร้างผลงานให้เขาเห็นคาดว่าจะได้แบ่งสมบัติบ้างผมบอกพ่อว่าไม่เอาเงินเดือน เพราะเห็นพี่ชายบอกว่าผมใช้ไปเกือบ 2 ล้านตอนที่อยู่ไต้หวันผมเลยขอแค่อาศัยอยู่กิน แต่ขอให้ภรรยาผม 500 บาทเพราะจะเก็บเป็นค่าซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขากลับไปเยี่ยมบ้านผมไปทำงานให้พี่ชายด้วยเพราะอยากได้เงินไปไต้หวันกับภรรยา พี่เองก็บอกว่าถ้าทำงานดีๆ เขาจะให้หมื่นหนึ่งแต่เอาเข้าจริงวันที่จะไปเขาไม่ให้และยังด่าผมหยาบคาย ผมเสียใจมากร้องไห้เดินออกจากบ้านขึ้นแท็กซี่ไปเยาวราช เอาทองสินสอดทั้งหมดไปขายเอาเงินไปซื้อตั๋วแทน

- กลับเมืองไทยอีกไหม?
ผมกลับคนเดียว ภรรยาและลูกยังอยู่ที่ไต้หวัน กลับมาก็อยู่กับพี่ชายเหมือนเดิมเพราะไม่มีที่ไปทำงานให้เขาเหมือนกรรมกร ลากข้าวสาร จนวันหนึ่งผมไม่สบาย ไปขนข้าวสาร ทีนี้ตะขอมันลื่นเกี่ยวไม่อยู่
กระสอบข้าวสารตกพื้นแตกกระจาย พี่ชายเขาโกรธมากด่าผมเสียๆ หายๆ หยาบคายจนผมทนไม่ได้เสียใจมาก หยิบตะขอปาใส่พี่ชายวิ่งเข้าไปต่อยกัน จากวันนั้นก็แตกกันเลย ความเป็นพี่น้องไม่มีเหลือ ผมโกรธแค้นพ่อแม่ไปด้วยที่ท่านใจดำกับผม

- แล้วทีนี้ทำยังไง
ไปของานเพื่อนทำ เป็นเซลส์แมนขายเครื่องไฟฟ้า แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องไปเคาะตามหมู่บ้านบางทีโดนด่าพ่อด่าแม่ โดนไล่ไปให้พ้น ก็โทร.ไปปรึกษาภรรยาที่ไต้หวัน เขาบอกให้ไปสมัครเป็นไก๊ด์ที่บริษัทเพื่อนของพ่อเขาที่เมืองไทย ผมก็ไปแต่เขาไม่รับเลยบอกว่าทำงานให้ฟรีๆ กวาดพื้น เช็ดโต๊ะ กะให้เขาเห็นใจ แต่ทำฟรีอยู่ 3 เดือน ก็ยังไม่รับเราทำงานเลย (หัวเราะ)ในที่สุดเจ้าของบริษัทมาบอกว่า ให้ภรรยาผมมาทำดีกว่าเพราะเขาพูดเก่ง ได้ทั้งไต้หวัน จีนกลาง ฮกเกี้ยนผมโทร.บอกภรรยา เขาเลยพาลูกกลับมาเมืองไทยมาอยู่ด้วยกัน ผมเลยต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก ส่วนภรรยาไปทำงาน

- เริ่มมีเงินมากขึ้น?
ใช่ แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่ภรรยาไปทำงาน เพราะหลังๆ เขาเริ่มห่างเหินไม่กลับบ้าน แล้วเขาก็ไปอยู่กับคนอื่นวันหนึ่งทางบริษัททัวร์เขาต้องการไก๊ด์เพิ่มให้ผมไปสมัคร ก็ไปทำทัวร์วัดพระแก้ว ไก๊ด์คนอื่นอธิบายเรื่องพระแก้วมรกตแค่สิบห้านาทีก็เดินออกแต่ผมเล่าตั้งแต่พระพุทธศาสนามาจากอะไร พระแก้วมรกตมาจากไหน คนไทยนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไงทำไมต้องแขวนพระ จนทำให้ลูกทัวร์อยากได้พระเครื่องขึ้นมาบ้าง นั่นแหละทำให้กลายมาเป็นธุรกิจทำเงินให้กับผมมากมายมหาศาลคือผมไปหาหลวงปู่ที่วัดข้างบ้านเอาพระไปให้ท่านปลุกเสกแล้วถ่ายภาพไว้ให้ลูกทัวร์ดูว่าพระนี้ผ่านกรรมวิธีปลุกเสกมีความศักดิ์สิทธิ์นะ แล้วก็บริจาคปัจจัยให้วัดทำอยู่ 12 ปี ได้เงินราวๆ 200 ล้าน- ไม่รู้สึกผิดผมเชื่อว่าที่ผมได้อย่างนั้น เพราะผมพูดสิ่งที่ดีๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทำให้คนเลื่อมใส ให้คนทำความดี สิ่งเหล่านี้คือสามัญสำนึกที่เกิดขึ้น

- คราวนี้รวยแล้ว?
ตอนนั้นผมอายุ 33 มีเงินสดอยู่ประมาณ 15 ล้าน และทรัพย์สินอีกมากมาย พอเริ่มมีเงินเริ่มอยากเที่ยวมากขึ้น มาวันหนึ่งไปรู้จักคนคนหนึ่งเป็นเจ้าของไนท์คลับย่านเพลินจิต
เจ้าของร้านมาทำความรู้จักกับผมแล้วเอ่ยปากขอยืมเงิน 3 แสนบาท จะให้ดอกเบี้ยผม 10%ผมก็บอกเขาว่าจะช่วย แต่ไม่เอาดอก ขอแค่เงินต้นคืน รู้จักกันสองวันเท่านั้นแต่ผมก็คิดว่าเขาคงไม่โกงเพราะมีร้านเป็นหลักฐาน แต่ที่สุดเขาก็ไม่คืน หลบหน้า - สูญเงิน3แสนผมตามทวง เขาบอกไม่มีเงินให้ แต่ให้ผมไปร่วมหุ้นกับเขาในไนท์คลับ ผมก็คิดว่าเออ..ถ้าไปร่วมหุ้นอาจได้เงินคืน ผิดคาด..ปรากฏว่าผมต้องจ่ายเงินไปอีก 2 ล้านกว่าบาทเพราะร้านเขาติดหนี้รวมทั้งหมด 2.9 ล้าน ผมไม่จ่ายก็ไม่ได้เพราะเขาจะไม่ให้เปิดร้านมารู้ทีหลังว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนดี เป็นนักการพนัน และเป็นหนี้สินเยอะมาก

- สุดท้ายได้เงินคืนไหม?
ไม่ได้ แต่เขาจ่ายเป็นเรือแทน แล้วมารับผมไปดู เจ้าของอยู่แถวบางนา เขายืนยันพาผมไปดูให้ได้บอกว่าซื้อไว้แล้ว 2 ล้านบาทต้องจ่ายอีก 2 ล้าน รวมเป็น 4 ล้าน ผมก็เอาเงิน 2 ล้านให้เขาไปจะได้จบๆแต่สุดท้ายมารู้จากเจ้าของเรือ ว่าเขาไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว สรุปแล้วหมดไปประมาณ 6 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่าของเรือ

- เอามาทำเรือสำราญ
ยั้งง..งง ทีแรกคิดว่าจะตกแต่งเอามาใช้ส่วนตัว แต่ปรากฏว่าเอาขึ้นแล้วเรือใช้การไม่ได้เลย ส่วนที่อยู่ใต้น้ำทั้งหมดใช้ไม่ได้ เครื่องก็เสียก็ไปหาอู่ซ่อมเป็นคนจีนด้วยกัน ปรากฏว่าไปโดนเขาหลอกอีก คือ ดึงเรือผมไว้เฉยๆแต่ส่งบิลมาเก็บเงินกับผม 16 เดือนคราวนี้หมดเลยครับเงิน 15 ล้านในธนาคาร และรถเบนซ์อีก 2 คันรวมๆ แล้ว 20 ล้าน จ่ายเป็นค่าซ่อมเรือ ผมล้มทั้งยืน ไม่มีอะไรเหลือเลย

- แล้วรอดมาได้ยังไง
บังเอิญวันหนึ่งผมเจอช่างใหญ่คนหนึ่งในอู่เรือนั้นนั่นแหละ เป็นช่างมีฝีมือ ตอนนั้นผมถอดใจแล้วแต่หัวหน้าช่างคนนี้มาคุยกับผม เล่าเรื่องให้ผมฟังทั้งหมดว่าผมถูกหลอกช่างคนนี้เขาทะเลาะกับเจ้าของอู่ เขาบอกให้ผมเอาเรือออกจากที่นี่แล้วเขาจะซ่อมให้เอง แต่ให้ผมสัญญาว่าผมต้องไม่ทิ้งเขา เขาจะเอาลูกน้องออกไปให้หมดไปทำเรือให้ผม ผมตกลง ก็เอาเรือไปที่เจริญนคร ซอย 39 แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้โดนทีมนี้หลอกอีก หมดเนื้อหมดตัวเลยทีนี้

- แล้วตอนไหนที่ดวงดีขึ้น
มีเพื่อนเป็นลูกชายจอมพล ช่วยเจรจาให้แบงก์กรุงเทพปล่อยกู้ให้ โดยผมเอาที่ดินไปค้ำประกันได้เงินมา 10 ล้านแต่เรือก็ยังไม่เสร็จ คราวนี้เจ้าหนี้ตามทวงเงินอุตลุด ผมต้องหลบหน้า สรุปว่าหมดเวลาไป 3 ปีหมดเงินไป 30 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้เรือผมทุกข์ใจมากตอนนั้น หมดหนทาง เลยไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวเอาที่ดินที่เหลืออยู่ไปขายให้พี่สาว 8 ล้านบาท ให้เขาช่วยซื้อแล้วเอาเงินไปจ่ายหมุนหนี้
วันหนึ่งมีเพื่อนมาหาที่บ้าน ชวนไปลาว ให้ผมขับรถไปให้ ขากลับมาแวะที่ จ.สกลนครเพื่อนบอกให้ไปไหว้หลวงปู่มั่น บอกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ผมก็คุกเข่าลงไปไหว้ท่าน พูดว่า "หลวงปู่ครับเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผมเคยเชื่อ ผมทำดีมาช่วยเหลือคนมา ทำไมผมไม่ประสบความสำเร็จเจอแต่คนหลอกผม ทำดีไม่ได้ดี ถ้าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ผมกลับมายืนได้ แก้ปัญหาปลดหนี้ได้เมื่อไหร่ผมจะเชื่อว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วผมจะกลับมาบวชแก้บน"

- ดีขึ้นเลยทีนี้
หลังจากกลับกรุงเทพฯ เออ..มันเหมือนกับว่าเริ่มมองเห็นทางแก้ปัญหา ก็คิดว่าเราต้องเผชิญกับมันไม่ใช่หลบหนี ตัดสินใจเจรจาประนอมหนี้ บอกเจ้าหนี้ทั้งหลายด้วยเหตุผลว่า ถ้าเขาให้เวลาผมหาเงินก็จะมีเงินมาใช้หนี้เขา แต่ถ้าเขาทวงอย่างนี้ จะเอาผมเข้าคุก เขาก็จะไม่ได้เงินคืนนั่นแหละครับ ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายผมไปคุยกับเจ้าของโรงแรม ให้ผมเข้าไปทำเรือสำราญรับแขกของโรงแรม อย่ารู้ชื่อเลยอยู่ริมน้ำนี่แหละ แบ่งรายได้กันเรือของผม อาหารเครื่องดื่มของเขา ก็พอได้กำไรขึ้นมาบ้าง แต่พอเขาเปลี่ยนจีเอ็มคนใหม่เขาไม่เอาผม เขาจะทำเอง ผมเลยออกมาหาร้านริมน้ำทำเอง
เป็นก้าวสำคัญที่ผมคิดหนักที่สุด ผมตัดสินใจออกมา พอออกมาผมประสบความสำเร็จเลย ภายใน 1 ปี
ผมได้ตลาดมาทั้งหมด 50% ของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น อเมริกัน และยุโรปบุคคลสำคัญๆ ก็ทัวร์เรือผม มาร์กาเร็ต แทตเชอร์, วลาดิเมียร์ ปูติน, เมกาวาตี บุตโต, กษัตริย์สวีเดน

- ทำไมใช้ชื่อเพิร์ล ออฟ สยาม
ตอนแรกเป็นชื่อนี้ แต่เดี๋ยวนี้ปลดระวางหมดแล้ว เป็น แกรนด์ เพิร์ล 1-2-3 เพราะเรือนี่เป็นคำศัพท์ที่ใช้เฉพาะผู้หญิง แล้วไข่มุกเป็นของล้ำค่าสำหรับสุภาพสตรี เลยตั้งชื่อเป็นไข่มุกแห่งสยาม
จากลำเล็กเป็นลำใหญ่เบ้อเริ่ม ก็เปลี่ยนชื่อเป็นแกรนด์ เพิร์ล

- ตอนนี้เหลือหนี้เท่าไหร่?
ประมาณ 30 กว่าล้านมรสุมที่เกิดกับผมหนักหนาพอสมควร แต่ผมก็คิดว่ายังมีคนอื่นที่หนักกว่า
ผมอยากให้ทุกคนมีสติ เพราะการมีสติจะทำให้เราคิดออก จากหนักให้เป็นเบาก่อนแล้วค่อยๆ ดีขึ้นทีละขั้น ทีละตอน เพราะมันต้องใช้เวลา ต้องลำบากตอนนั้นผมแค้นใจว่าทำไมต้องถูกคนโน้นหลอกคนนี้หลอก แต่มาวันนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ผมต้องขอบคุณคนพวกนั้นที่เขามาหลอกผม ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่มีวันนี้ และคนแบบนั้นเขาไม่หลอกเราคนเดียว เขาหลอกไปทั่ว ถึงยังไงๆ เขาก็ได้รับกรรม

- ฝากไว้เป็นบทเรียน
ครับ ผมว่าทุกปัญหาแก้ไขได้ ถ้ามีปัญหาอย่าคิดสั้นกับตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากๆขอให้ต่อสู้ต่อไป โลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด การคิดสั้นเป็นการคิดที่ผิด ขอให้คิดว่าเวลาและโอกาสยังมาไม่ถึงเราอาจจะลำบาก โชคชะตาคนเราบทจะแย่ก็แย่ซ้ำซ้อน มาถี่ๆ มาเรื่อยๆ แต่บทจะดีมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆถ้าเราคิดสั้นเสียก่อนก็จะตัดโอกาสเราไปถ้าเรามีความอดทน และทำให้ดีที่สุด ความดีของเราจะสนองตอบแทนเรา ผมเชื่อมั่นในการทำความดี