Custom Search

May 2, 2007

ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้มีเข็มทิศชี้ทาง

The Idol : ฐิตินารถ ณ พัทลุง

เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ

หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง กำลังจะเริ่มต้นชีวิตด้วยการเปิดบริษัทใหม่
เพียงเวลาไม่ถึงเดือน

สามีผู้เป็นหลักของครอบครัวก็จากไปด้วยอุบัติเหตุในวันขึ้นปีใหม่
ที่ทุกชีวิตกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองอย่างรื่นเริง
แต่เธอต้องจัดงานศพให้สามี ที่หนักไปกว่านั้น
ผู้สามีได้ทิ้งหนี้สินหลายสิบล้านให้เธอแบกรับ
เจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามาทวงเงินกลางงานศพท่ามกลางญาติมิตรล้อมหน้าล้อมหลัง


ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร


สำหรับเธอ คุณอ้อย ฐิตินารถ ณ พัทลุง ในช่วงที่เธอสับสนและอับจนหนทางนั้น

เธอได้มีโอกาสไปฝึกสมาธิภาวนาจากการแนะนำของกัลยาณมิตรผู้หนึ่ง
แม้จะไม่มีประสบการณ์มาก่อน แม้จะเกิดความทุกขเวทนาในช่วงปฏิบัติ
ครั้นเวลาผ่านไปจากวันเป็นอาทิตย์ เธอก็ได้ประจักษ์แก่ใจว่า
ทุกข์นั้นอยู่ที่ใจนั่นเอง หากเรามีสติดูใจรู้ทัน
ความยึดความอยากที่กำไว้อย่างลืมตัว ทางออกจากทุกข์ก็ปรากฏ


นับจากนั้นชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป ประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ซึ่งตรงกับธรรมะที่ว่า 'มารไม่มีบารมีไม่เกิด'
ทำให้เธอนำไปเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตและทำธุรกิจ
เธอใช้เวลาปลดเปลื้องหนี้สินนั้นเพียงสามปี
กิจการมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ
เธอไม่เคยละทิ้งการปฏิบัติธรรม นอกจากปลีกตัว
ไปปฏิบัติธรรมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งอาทิตย์แล้ว
ยังสนับสนุนให้พนักงานบริษัทของเธอไปฝึกสมาธิภาวนาด้วย
นอกเหนือไปจากนั้น เธอยังช่วยให้คนที่ประสบความทุกข์เช่นเดียวกับเธอ
กลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างเต็มไปด้วยความหวังและเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
เธอบอกว่าชีวิตคนเราต้องมีเข็มทิศนำทาง นั่นคือมีพระธรรมส่องใจ


เธอแพลนชีวิตไว้ในหนังสือ 'เข็มทิศชีวิต'
ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน ไม่ว่าจะเป็นการทบทวนชีวิต
การรู้กฎของชีวิต การวางใจให้ถูกต้อง การกำหนดเป้าหมายให้ถูกต้อง
โดยจะขอยกตัวอย่างเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
ในความหมายของฐิตินารถ ไว้ว่า


"การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีความสำคัญมากต่อความเจริญงอกงามภายใน
เพื่อนคนหนึ่งซึ่งดิฉันให้ความนับถือมาก เล่าให้ฟังว่า
เธอได้ของขวัญจากคนในครอบครัวเป็นเพชรเม็ดใหญ่เท่าหัวแม่มือ
มีราคาแพงชนิดที่ดิฉันนับตัวเลขไม่ทันตั้งแต่เธอเฝ้าดูใจ
เธอเห็นภาระทั้งทางใจ ทางกาย และออกจากบ้านไปวัด
ก็ต้องเอาเพชรไปฝากไว้ที่ธนาคาร จะใส่ตัวเรือนทำเป็นแหวน
ก็ต้องจ้างการ์ดหอบหิ้วเอาไปส่งบริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ที่ฮ่องกง
เวลาของชีวิตสูญเสียไปเพราะสิ่งเหล่านี้ ทำให้เธอเห็นความทุกข์
เห็นภาระข้าวของที่ให้แค่ค่านิยมหรูๆ เป็นประโยชน์เทียมกับตัวเอง"


"ถ้าไม่ต้องไปงานสังคม เราก็ไม่ต้องใช้ของพวกนี้ ไม่ต้องดิ้นรนหาเสื้อผ้า
ไม่ต้องขัดตัวนวดตัวนวดหน้า ดูแลตัวเอง ไม่ต้องทำเล็บ
ไม่ต้องแต่งหน้าทำผม ไม่ต้องเสียเวลามากๆ
ทั้งระหว่างเตรียมตัวจนถึงวันไปจริงๆ ที่จะต้องไปเจอใครก็ไม่รู้
ที่ไม่มีความหมายในชีวิตเรา และปล่อยพลังด้านลบออกมา
ให้เราต้องล้างอีกเท่าไหร่ ลองนึกดูสิว่าในงานแบบนั้นงานหนึ่ง
จะมีสักกี่คนที่อิ่มเอมเต็มพอเพียงมีพลังในชีวิต
มีคุณค่าพอที่จะชุบชูใจ ลับปัญญาให้เราเรียนรู้
เพราะคนที่รู้สึกอย่างนั้น ก็คงเอาพลังชีวิต
เอาเวลาไปอยู่กับครอบครัว กับคนที่รัก
แล้วก็ทำอะไรที่มีความหมายกับตนเองจริงๆ
มากกว่าที่จะออกไปให้คนอื่นช่วยตีตราประทับ
ให้ว่าเราประสบความสำเร็จ ว่าเราดูมั่งมี
ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ได้มั่งมีจริงๆ มีภาระหนี้สินมากมาย
มีปัญหากับสามี ลูก เพื่อน สับสนกับตัวเอง
มีความทุกข์โดยการทำตัวเองให้ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น"


"วันนี้เพื่อนของดิฉันคนนี้วางมือจากงานที่เคยทำรายได้ให้เธอมากมาย
แต่ทำให้เธอต้องไปงานสังคมที่ดูดพลังชีวิต
และไม่เอื้อต่อการพัฒนาของเธอ
เธอให้สัมภาษณ์หลังจากการลาออกว่าเธอพบว่า
ยิ่งหาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้เงินมากขึ้นเท่านั้น
หลุมในใจก็โตขึ้นเรื่อยๆ ความสำเร็จในหน้าที่การงานและวัตถุ
ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ ดิฉันจึงเลือกแนวทางชีวิตที่เดินช้าลง
เพื่อให้สิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเธอจริงๆ"


นอกจากนี้ เธอยังได้ยกตัวอย่างกรณีคนจนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย


"นักธุรกิจหญิงท่านหนึ่งเคยทำธุรกิจได้เงินปีละหลายสิบล้าน
ขับรถเบนซ์ มีบ้านหลังใหญ่ วันหนึ่งเธอถูกโกง
บริษัทถูกปิด บ้าน รถ เงิน ทรัพย์สินทั้งหมดโดนยึด
ไม่มีเงินเหลือแม้แต่บาทเดียว มีแต่หนี้
แต่ละเดือนสามีซึ่งเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาให้เงิน
เธอใช้เดือนละ 1 หมื่นบาท ผ่อนเจ้าหนี้แปดพันบาท
เหลือสองพันบาทสำหรับตัวเอง เธอเข้ามาปฏิบัติธรรม
ได้พบเพื่อน ทั้งคนเคยทุกข์ คนไม่เคยทุกข์ ร่ำรวยมีสุข
แต่รักใคร่สนิทสนม ชวนกันฝึกฝนตนเอง ไปวัด ฟังธรรม
เธอมักจะพูดว่าถึงไม่มีเงิน แต่มีเพื่อนดีๆ คอยชักจูง
คอยบังคับให้เราพัฒนาตัวเอง ก็เหมือนเรามีทรัพย์ภายใน
ได้พบ ได้ฟัง ได้ทำสิ่งที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่ง
จะมีโอกาส เป็นสิ่งที่ดีที่สุด"


"ทุกวันนี้เธอไม่มีเงิน แต่มีความสุขที่สุด มีความสุขเบิกบานจากข้างใน
ที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรแต่ละก้าวของชีวิต
เพื่อนๆ จะมีเงินร้อยล้านพันล้านเธอก็ยินดีด้วย
คนอื่นก็ยินดีกับเธอ นับถือเธอที่เธอฝึกตัวเองได้ดี
ทุกวันนี้เจ้าหนี้โทรมาทวงหนี้ เธอก็สามารถพูดคุยกับเขา
เหมือนกำลังพูดเรื่องของคนอื่น ตกลงจัดลำดับผ่อน
ใครก่อนใครหลังอย่างมีความสุข จนเจ้าหนี้มหาเศรษฐีร้อยล้าน
กลับต้องปรับทุกข์กับเธอแทน
เธอเป็นเพื่อนรักในกลุ่มของดิฉันเอง
เราเรียกเธอว่าคนจนผู้ยิ่งใหญ่"


นี่คือเศษเสี้ยวหนึ่งของการเบนเข็มทิศให้มองออกข้างนอก
บางทีคุณก็จะเห็นความสว่างไสวในชีวิต
ถ้าสนใจก็ลองไปซื้อหนังสือ 'เข็มทิศชีวิต' ที่คุณฐิตินาถ
บรรจงเขียนขึ้นมาจากใจ โดยมีเพื่อนรัก คุณสุพรทิพย์ ช่วงรังษี
ช่วยรังสรรค์ภาพประกอบ
แล้วคุณจะชอบในความเรียบง่าย ทว่าสุขล้ำของเธอ



ข้อมูลพิเศษ
ฐิตินาถ ณ พัทลุง
การศึกษา ปริญญาโท
สาขาบริหารธุรกิจ และสาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน
อายุ 25 ปี ก่อตั้งบริษัทของตัวเอง อายุ 27 ปี
เสียบริษัท เสียสามี เป็นหนี้เกือบร้อยล้าน
ปัจจุบัน เป็นคุณแม่ของลูกชายชื่อน้องทะเล ไม่มีหนี้
เกษียณตัวเองจากงานมาเป็นคนเดินช้า
เป็นวิทยากรบรรยายธรรมสำหรับคนทำงานในองค์กรรัฐ เอกชน
และสถานปฏิบัติธรรม เป็นครูอ้อยในหลักสูตรปฏิบัติธรรม
* รายการเจาะใจ > http://www.watkoh.com/data/thitinat/





http://teetwo.blogspot.com/2009/07/blog-post_1515.html