Custom Search

Jun 17, 2009

รู้จักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)


วรากรณ์ สามโกเศศ มติชน วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ในปัจจุบัน คำที่ใช้กันมากและอาจสร้างความสงสัย
ให้ผู้คนได้ไม่น้อยก็คือคำว่า Creative Economy
หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งอาจสร้างการเปลี่ยนแปลง
ที่ สำคัญขึ้นในเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้
เกาหลี ใต้เป็นตัวอย่างของประเทศที่รู้จักใช้คอนเซ็ปท์
Creative Economy (CE)
ให้ เกิดประโยชน์แก่ตนเอง การส่งออกวัฒนธรรมเกาหลี
ไปทั่วโลกในรูปของ ภาพยนตร์
รายการโทรทัศน์ เพลง นักร้อง แฟชั่น การท่องเที่ยว
ศิลปะการ แสดง อาหาร ฯลฯ
ซึ่งสร้างการจ้างงานและรายได้อย่างมหาศาล
เป็น ตัวอย่างที่น่าชื่นชม
ความหมายอย่างง่ายของ CE ซึ่งให้โดย John Hawkins
(ในหนังสือชื่อ The Creative Economy :
How People Make Money From Ideas
ซึ่งมีการ แปลเป็นภาษาไทยแล้วโดยศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC)
ก็คือ "การสร้างมูลค่าที่เกิดจากความคิดของมนุษย์"
สาขาการผลิตที่พัฒนาไปสู่ CE จะเรียกว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
(Creative Industries หรือ CI) ซึ่ง
หมาย ถึงกลุ่มกิจกรรมการผลิตที่ต้องพึ่งพาความคิดสร้างสรรค์เป็นวัตถุดิบสำคัญ
UNCTADแบ่งประเภทอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ "......
1) ประเภทมรดก ทางวัฒนธรรม (Heritage or Cultural Heritage)
เป็นกลุ่ม อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์
โบราณคดี วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และสภาพสังคม เป็นต้น
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม
(Traditional Cultural Expression) เช่น ศิลปะและงานฝีมือ
เทศกาลงานและงานฉลอง เป็นต้น และกลุ่มที่ตั้งทางวัฒนธรรม (Cultural Sites)
เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และการแสดงนิทรรศการ เป็นต้น
2) ประเภทศิลปะ (Arts) เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บนพื้นฐานของศิลปะ
และวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 กุล่ม คือ งานศิลปะ (Visual Arts)
เช่น ภาพวาด รูปปั้น ภาพถ่าย และวัตถุโบราณ เป็นต้น รวมทั้งศิลปะการแสดง
(Performing Arts) เช่น การแสดงดนตรี การแสดงละคร การเต้นรำ โอเปร่า
ละครสัตว์ และการเชิดหุ่นกระบอก เป็นต้น
3) ประเภทสื่อ (Media) เป็นกลุ่มสื่อผลิต
งานสร้างสรรค์ที่สื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่
แบ่งออก เป็น 2 กลุ่ม คือ งานสื่อสิ่งพิมพ์
(Publishing and Printed Media)
เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ และสิ่งตีพิมพ์อื่นๆ เป็นต้น
และงานโสตทัศน์ (Audiovisual)
เช่น ภาพยนตร์โทรทัศน์ วิทยุ และการออกอากาศอื่นๆ เป็นต้น
4) ประเภท (Functional Creation)
เป็นกลุ่มของสินค้าและบริการที่ตอบสนอง
ความ ต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มการออกแบบ (Design)
เช่น การออกแบบภายใน กราฟิค แฟชั่น
อัญมณี และของเด็กเล่น เป็นต้น
ส่วนกลุ่ม New Media ได้แก่ ซอฟต์แวร์
วิดีโอเกม และเนื้อหาดิจิตอล เป็นต้น
และกลุ่มบริการทางความคิดสร้างสรรค์
(Creative Services)
ได้แก่ บริการทางสถาปัตยกรรม โฆษณา
วัฒนธรรมและนันทนาการ งานวิจัยและพัฒนา
และบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอล
และความคิด สร้างสรรค์ เป็นต้น......."
ประเทศไทยยัง ไม่ได้กำหนดขอบเขตของ CE หรือ CI อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ได้พยายามจัดกลุ่มของ CI
ตามลักษณะของบัญชีรายได้ประชาชาติ โดยแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม ได้แก่
1) งานฝีมือและหัตถกรรม (Crafts)
2) งานออกแบบ (Design)
3) แฟชั่น (Fashion)
4) ภาพยนตร์และวิดีโอ (Film & Video)
5) การกระจายเสียง (Broadcasting)
6) ศิลปะการแสดง (Performing Arts)
7) ธุรกิจโฆษณา (Advertising)
8) ธุรกิจการพิมพ์ (Publishing)
9) สถาปัตยกรรม (Architecture)
ข้อมูลของสำนักบัญชีประชาชาติปี 2549 ระบุว่ามูลค่าของ
CI ของทั้ง 9 กลุ่มข้างต้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10.4 ของ GDP
โดยมี มูลค่ารวมประมาณ 848,000 ล้านบาท
และมีมูลค่าการส่งออกในปี 2549 ประมาณ 289,000 ล้านบาท
ประเทศไทยมีวัตถุดิบที่ สามารถพัฒนาขึ้นเป็นสินทรัพย์สร้างสรรค์
(Creative Assets) อยู่มหาศาล
ไม่ ว่าจะเป็นในด้านรูปธรรมหรือนามธรรม
ซึ่งสามารถนำไปสร้างเสริม CE ได้เป็นอย่างดี
ในด้านรูปธรรม เรามีพระบรมมหาราชวัง พระแก้วมรกต
พระพุทธรูปงดงามพระราชวัง
วัดวา อาราม เรือสุพรรณหงส์ อาหารไทย รำไทย
นวดไทย ข้าวไทย ผลไม้ไทย
ผ้าไหม ไทย สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน ฯลฯ
แหล่งท่องเที่ยว เช่น
อยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา
เยาวราช สำเพ็ง เขาพระวิหาร
เมืองโบราณ ฟาร์มจระเข้ ฯลฯ ในด้านนามธรรม
เรามีเรื่อง ราวของ Siamese Twins อิน-จัน
(คำว่า Siamese สามารถช่วยสร้าง CE ได้เป็นอย่างดี
เพราะฝรั่งรู้จัก Siamese Twins/ Siamese Cats
แต่ ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าประเทศไทยกับสยามคือประเทศเดียวกัน
บ้างก็นึกว่า Thailand คือ Taiwan)
สะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาตะปู
(ในตอนหนึ่งของ ภาพยนตร์ 007 James Bond) ฯลฯ
วัตถุดิบ เหล่านี้กำลังรอคอยการพัฒนาขึ้นเป็น Creative Assets
เพื่อเป็นปัจจัยใน การสร้าง Creative Industries
หัวใจสำคัญ ของการพัฒนาก็คือความคิดสร้างสรรค์ (Creative Ideas)
ซึ่งมิได้ติดตัวทุก คนมาแต่กำเนิด
หากเกิดขึ้นจากการมีทักษะในการคิด
(Thinking Skills) และการมีความคิดริเริ่ม (Originality)
ซึ่งต้องมีการเรียนการสอน ฝึกฝนกันในโรงเรียน
และมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง
ในแผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (2553-2555)
ของรัฐบาล ชุดนายกฯ อภิสิทธิ์นี้ งานสร้าง CE
ได้รับเงินจัดสรรรวม 17,585 ล้านบาท
โดย จัดสรรให้แก่การส่งเสริมและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
การส่ง เสริมเอกลักษณ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรม
การส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมช่าง ฝีมือไทย
การส่งเสริมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงและซอฟต์แวร์
การส่งเสริม อุตสาหกรรมรวมออกแบบและสินค้าเชิงสร้างสรรค์
และการขับเคลื่อนสนับสนุน การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
หากประเทศของ เราจะอยู่ได้ดีในหลายทศวรรษหน้า
ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของ ประเทศ
เราจำเป็นต้องพัฒนาจากระดับต่ำสุด คือ เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยปัจจัยการผลิต
(Factor-driven Economy คือ การใช้การผลิตด้วยต้นทุนต่ำเป็นปัจจัยสำคัญ)
เพื่อเข้าสู่ระดับความ สามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเป็นลำดับคือ
เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วย ประสิทธิภาพ (Efficiency-driven Economy)
และ เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
(Innovation-driven Economy) ในที่สุด

หน้า 6