Custom Search

Jul 18, 2009

ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร - ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร



สกุณา ประยูรศุข-เรียบเรียง
เจเอสแอล-ภาพ

เคยบอกเป็นคล้ายๆ พันธสัญญากับพี่ที่รักเคารพ "อารักษ์ คคะนาท"
ว่าอยากจะสัมภาษณ์ "ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" ลงฉบับวันอาทิตย์สักครั้ง
เป็นเรื่องที่ "ดร.อภิวัฒน์" ต่อสู้กับโรคร้าย "มะเร็ง" ที่เผชิญอยู่
เพราะ ครั้งล่าสุดเห็น ดร.อภิวัฒน์ปรากฏในจอทีวี
ทำหน้าที่พิธีกรด้วยกำลังวังชา ที่เหมือนคนปกติ
พี่ที่เคารพบอกว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่จะดำเนินการ ให้ทันที
ครั้งนั้นจึงทำให้รู้ว่า ดร.อภิวัฒน์กลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง!
กระนั้นก็ยังมีความหวังว่าบทสัมภาษณ์ดีๆ จะเดินทางมาถึงในไม่ช้า...
แต่แล้ว..สิ่งที่มาถึงเมื่อเช้าวันที่ 28 มิถุนายน
กลับเป็นข่าวร้ายว่า ดร.อภิวัฒน์ที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่นั้นได้จากไปเสียแล้ว!!
เป็นการจากอย่างไม่คาดคิด การรอคอย
และความหวังที่ตั้งใจไว้เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงเดือนต้องเดินทางมาถึงที่สิ้นสุดเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกเสียใจ-เสียใจกับครอบครัวของดอกเตอร์ที่
ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง
และความรู้สึกเสียดายกับคนดีๆ "คน คุณภาพ"
คนหนึ่งที่ต้องจากไป ใครที่เคยติดตามรายการจันทร์กระพริบ
ในโทรทัศน์มาตั้งแต่แรก จะรู้ว่า "คนคุณภาพ" คำนี้
ไม่ได้กล่าวเกินเลยไปจากความเป็นจริง
เพราะการทำหน้าที่พิธีกรคู่กับ ผุสชา โทณะวณิก
ได้เป็นภาพปรากฏในใจของ ผู้คนตลอดมา
เมื่อเห็นผุสชาก็ต้องถามถึง ดร.อภิวัฒน์
เมื่อเห็น ดร.อภิวัฒน์ก็ต้องถามถึงผุสชา
อีกทั้งรายการนี้ยังอยู่ในความนิยมของผู้คนเกินกว่าสิบปี
บทสัมภาษณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก คิดว่าคงหมดโอกาส
แต่แล้ว..ได้รับการบอกเล่าและอนุเคราะห์จากพี่ที่รักเคารพ
ว่ามีเรื่องราว บางอย่างบางตอนของ
ดร.อภิวัฒน์ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนจากไปพอที่จะนำมาทดแทนกันได้
ประกอบกับเรื่องราวในหนังสือ
"มองชีวิตผ่านมะเร็ง-ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร"
ที่นิตยสารแพรวจัดทำไว้
น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์สุดท้ายสำหรับ ดร.อภิวัฒน์
ในการร่ำลาที่เขาไม่มีโอกาสได้บอกเล่า
กับประชาชนและบรรดาแฟนๆ ด้วยตัวเอง
"มติชนสุขสรรค์"
ขออนุญาตนำบทสัมภาษณ์สุดท้ายมากล่าวไว้ ณ ที่นี
เป็นการอำลาที่ไม่ได้..ลาจาก
แต่เป็นความทรงจำที่ดีๆ เป็นบทเรียน ที่ตรึงตราอยู่ในใจมหาชน
อย่างที่ ดร.อภิวัฒน์อยากให้เป็น
"ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร" หรือ "ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร"
เป็นลูกชาย ของ เรืออากาศตรีอาชีพ วัฒนางกูร
พื้นเพเป็นคนอำเภอบ้านโป่ง จังหวัด ราชบุรี
และคุณแม่-นาวาเอกหญิงพูนศรี ทองปรีชา
ชื่อเล่น "เต้ย" มีน้องชายอีกคนชื่อ "ต่อ-อัษฏาวุธ วัฒนางกูร"
เริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา
ย่านสะพานควาย จบ ประถม 7 ก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนหอวัง
กระทั่งจบ ม.ศ.5 ก็สอบเข้าเรียน
มหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับเด็กทั่วไปสมัยนั้น
สอบเอ็นทรานซ์ปีแรกไม่ติด
เพราะเลือกเรียนแพทย์ทุกอันดับ
รอสอบอีกปีจึงเอ็นท์ติดคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อจบปริญญาตรีจากจุฬาฯ ไปเรียนต่อต่างประเทศ
ที่โลโยลาคอลเลจ เมือง บัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา
จบแล้วไปต่อปริญญาเอกอีกที่ โอคลาโฮมา สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่งด้านการศึกษาเป็น อันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา
แต่งงานกับ กมลนาท (อทิตา) สุมาวงศ์ มีลูก 2 คนหญิงชาย
ชื่อ "น้องแพรว" กับ "น้องเพ็ชร" ปัจจุบันอายุ 18 และ 16 ตามลำดับ

- ชีวีตการเป็นนักเรียนนอกสนุก?
ไม่เลย ชีวิตตอนนั้นเริ่มต้นด้วยความกลัว และหวาดระแวงไปหมดเสีย
ทุกอย่างเพราะมีปัญหาเรื่องภาษา ที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนาน
ฟังรู้เรื่อง เก่งแล้ว แต่ไม่ใช่เลย แค่ขึ้นเครื่องบินก็ฟังแอร์โฮสเตส
พูดไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เวลาไปเรียนก็ยิ่งเครียด จดเล็คเชอร์ไม่ได้เลย
ฟังได้ เป็นคำๆ ไม่ปะติดปะต่อ ช่วงแรกชีวิตที่เมืองนอกของผม
เริ่มต้นด้วยความเครียด มากๆ
ช่วงหลังเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้และมีเพื่อนฝูงคนอเมริกันมากขึ้น
รวมทั้งเพื่อนชาติอื่นๆ ที่มาเรียน ทำให้สังคมผมกว้างขึ้น
เริ่มไปนอน ค้างบ้านเพื่อน พาเพื่อนมาที่บ้าน
พร้อมๆกับการที่เราเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณีของชาติเขา
จึงสามารถปรับตัวได้และอยู่ได้อย่างสบาย มีความสุขมากขึ้น

- แล้วตอนเครียดแก้ปัญหายังไง
เรื่องเรียน ต้องไปขอยืมเล็คเชอร์เพื่อนมาลอก เรื่องภาษาก็ต้องใช้วิธี
อ่านหนังสือมากๆ ดูโทรทัศน์ ดูหนังมากๆ คุยกับเพื่อนมากๆ
แต่สำคัญที่สุด เลย คือ "แม่" ผมได้สติปัญญาจากแม่
ตอนที่เครียดมากๆ ไม่รู้จะทำอย่าง ไร เขียนจดหมายไปหาแม่เล่าให้แม่ฟัง
แม่บอกว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่ เห็น" นั่นทำให้ผมได้สติ
เพราะเรื่องที่ผมกลัวเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด

- เป็นคนเรียนเก่ง?
ความที่อยู่กับการเรียนอย่างเดียว อ่านแต่หนังสือ
พอเทอมแรกผ่านไปผม ได้ เอ ทั้ง 4 วิชา ก็ดีขึ้นสบายใจขึ้น
ผมเรียนจบปริญญาโทภายใน 1 ปี คือ
เดินทางไปเมื่อเดือนมกราคม 2523 จบในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
ที่สามารถทำได้ เพราะหลักสูตรที่เรียนนั้นแบ่งเป็นสองเทอมหลัก
และมีซัมเมอร์ ซึ่งยังแบ่ง เป็นซัมเมอร์ 1 ซัมเมอร์ 2
ถ้าใครลงทะเบียนเรียนอย่างเข้มข้นโดยลงเต็มทุกหน่วยกิต
ทั้งในแต่ละเทอมและซัมเมอร์ ก็สามารถจบได้ภายใน 1 ปี
พอจบโท ผมเองไม่อยากเรียนต่อปริญญาเอก
แต่พ่อกับแม่อยากให้ เรียน ท่านบอกว่าส่งเสียได้ผมจึงติดต่อเพื่อนที่โอคลาโฮมา
ทำให้ได้ไปเรียน ที่โอคลาโฮมาสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งที่นี่อยู่ห่างจากบัลติมอร์มากไป
เรียนตอนนั้นจำได้ว่าปี 2524 ตัดสินใจขายรถเป็นค่าตั๋วเครื่องบินบินไป เรียน
ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปทำไม

- ได้เพื่อนใหม่หรือเปล่า?
ช่วงแรกๆ คิดถึงบัลติมอร์มาก เพราะที่โอคลาโฮมาค่อนข้างล้าหลัง เดินไป
ไหนเจอแต่คนถ่มน้ำลาย เพราะส่วนใหญ่เขาเคี้ยวใบยาสูบ
แต่พอสักพักก็เห็นว่า ที่นี่น่ารักผู้คนเป็นมิตรมากกว่า
พูดง่ายๆ คือเป็นคนบ้านนอก ของอเมริกัน แต่เป็นคนดีมีน้ำใจ
ผมอยู่หอพัก มีรูมมเมทคนหนึ่งเป็นอาจารย์ จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ไปเรียนต่อปริญญาเอก อายุ 40 กว่าปีแล้วแต่ผม ยี่สิบต้นๆ
แต่เราก็เป็นเพื่อนกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ
ยังคงเรียนไปและทำงานพิเศษหารายได้เหมือนเคย
เพราะอยากช่วยพ่อแม่ ประหยัด
โดยตอนแรกไปสมัครเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัย
เขาตอบตกลงแล้ว แต่พอ วันเปิดเทอมเขาตัดงบฯนี้ออกเลยไม่ได้ทำ
เปลี่ยนไปทำงานในครัวของหอพัก ทำ
ตั้งแต่ล้างจานไปจนถึงทำอาหารให้คนกิน
และยังทำงานขายแซนด์วิชในเมืองอีก งาน
ทำอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบและการเรียนก็ไม่ได้ตก
การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่การวัดความรู้กัน ปริญญาโทเรียนยากกว่าด้วย ซ้ำ
การเรียนปริญญาเอกเป็นการวัดความสามารถในการชวนให้เชื่อมากกว่า
ไม่ สำคัญว่าคุณเก่งอะไร แต่คุณสามารถชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามได้
ตรงนั้นต่างหากที่ผมจับทางถูก การเรียนทำให้เรามีความรู้อยู่ในตัวเอง
แต่ถ้าเราไม่ สามารถถ่ายทอดความรู้นั้นได้ ก็ไม่มีประโยชน์


- เข้ามาเกี่ยวกับงานบันเทิงได้อย่างไร?
เรียนจบกลับมาปี 2527 สมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัย กรุงเทพ
เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ได้ 2 เดือนเขาบรรจุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชา ภาษาอังกฤษ
คณะมนุษยศาสตร์ พอปี 2528 ขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา
แต่พอไปได้แค่ เดือนมิถุนายนเขาให้ขึ้นเป็นคณบดี
เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานบันเทิง เริ่มจากมีนิตยสารหลายฉบับมาขอสัมภาษณ์
บริษัทเอเยนซี่โฆษณาเห็นเข้าก็ให้ไปเทสต์หน้ากล้อง
เพราะเขาต้อง การพรีเซ็นเตอร์เป็นครูอาจารย์ที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ
ช่วงนั้นปี 2532 บริษัทเจ เอสแอลกำลังริเริ่มรายการทำนองทอล์คโชว์
จึงทาบทามผมเป็นพิธีกร ให้ผมไป เทสต์หน้ากล้อง
มีคุณตุ้ม-ผุสชา เป็นคนเทสต์ เขาตกลงให้ผม
ทำงาน
โดยเปลี่ยน จากพิธีกรชายมาเป็นพิธีกรคู่ชาย-หญิงซึ่งผมก็คู่กับคุณตุ้มตั้งแต่นั้นมา
การทำงานตรงนี้ถือว่าให้อะไรกับผมมากมาย
ทุกชีวิตที่ผมได้สนทนา ได้ สัมผัส ได้เรียนรู้
ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งมุมมืด มุมสว่าง และผม ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น
ได้ศึกษา ได้อุทธาหรณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น
ทำรายการด้วย
เป็นคณบดีด้วยอยู่ประมาณ 10 ปี ก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์แล้วเดินเข้าไปที่เจเอสแอล
ทำงานกับเจเอสแอลตั้งแต่นั้นมาตลอด
- มาเริ่มป่วยตอนไหน?การเจ็บป่วยของผม-ผมอยากจะบอกว่ามันสะสมมาจาก
"ความเกินไป" ของผม อย่าง ที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า
ผมเป็นคนที่ทำอะไร "มากเกินไป" เสมอ ทำอะไรก็จะเกินไว้ก่อน
เมื่อเริ่มต้นทำงานผมก็สนุกสนานกับงานและรู้สึกว่างานมีเพิ่มมาก ขึ้นยิ่งรู้สึกดี
แทนที่จะรู้สึกว่ามันมากไปจนเหนื่อย
ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการพักผ่อนนอนหลับ
การพักผ่อนของผมจึงเป็นการได้ทำ
อะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม
เมื่อทำงานมากๆ ภายใต้ความเครียด อดนอน จึงเป็นการสะสมอาการป่วยที่ผม
ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการอดนอน
ที่เด่นชัดคือ การ เกิดอาการโรคหมุนอย่างไม่รู้ตัว
สะสมพร้อมๆ กับอาการปวดหัวตัวร้อนที่เป็น
อยู่บ่อยๆ
เมื่อห้าปีก่อนผมไปบ้านที่ปากช่องกับครอบครัว
ความที่ร่างกายไม่คุ้นกับ การพักผ่อน
จู่ๆ ร่างกายก็รับไม่ได้ ผมวูบ..สลบไป 5 นาทีล้มฟาดพื้น
หน้า เป็นแผล หลังจากนั้นผมมีอาการอื่นๆ อีกแต่ไม่ได้สนใจ


- ไม่ไปตรวจร่างกายหรือ?
ไม่ครับ ไม่ไปตรวจเช็คร่างกาย เพราะคิดเสมอว่ายังเดินเหินได้แข็งแรง ดี
ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสะสมแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด
ซึ่งผมไม่เคย คิดเลยว่าผมจะเป็นมะเร็ง
ผมใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะหมดทุกอย่าง และยังมีความ เครียดเป็นตัวเร่งอีก
วันหนึ่งผมรู้สึกปวดท้องต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ถ่ายไม่หมดเสียที
จนกระทั่งถ่ายออกมาเป็นหยด
เลือดสดๆ เปื้อนกางเกงใน ก็รู้สึกว่าผิดปกติ
เพราะ ปกติผมไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ เป็นคนไม่เสียเวลากับการนอน
การกิน การถ่าย คิด ว่าเมื่อถึงเวลาของมันก็ถ่ายเอง
บางครั้งก็ข้ามวัน และนิสัยเป็นคนดื่มน้ำ น้อย ตั้งน้ำไว้แก้วหนึ่ง
วันหนึ่งยังไม่หมดเลย
ถ่ายเป็นเลือดก็ยังไม่ไปตรวจทันที
เพราะมีงานรออยู่ ซึ่งเลือดมันไม่หาย ไปสักที
ในที่สุดตัดสินใจไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ
หมอตรวจพบก้อนเนื้อในลำไส้ ใหญ่ ตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ
ไม่บ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แต่ผลเลือดชี้ว่ามี เซลล์มะเร็งอยู่


- ก็ต้องผ่าตัด?
ผ่าตัดใหญ่ ต้องตัดลำไส้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นส่วนแพร่กระจายของเชื้อทิ้งไป
ความยาวฟุตกว่าๆ โชคดีที่ตัดไปแล้วยังสามารถต่อกับลำไส้ส่วนทวารหนัก ได้
ไม่ต้องเจาะหน้าท้องสำหรับขับถ่าย
หลังจากผ่าตัดสองเดือนให้หลัง
ปรากฏว่าแพร่กระจายไปที่ตับ มีเซลล์ มะเร็งเกิดขึ้น 3-4 ก้อน
จากเดิมที่ไม่ไปทำเคมีบำบัดต้องเปลี่ยนแผนมาทำเคมี
บำบัด
และรักษาแบบนี้มาตลอด มีอยู่ก้อนหนึ่งใหญ่ 0.4 เซนติเมตร
หมอไม่กล้า จี้ออกเพราะอยู่ติดกับลำไส้ใหญ่
อาจพลาดไปโดนเส้นเลือดใหญ่ได้
ต้องปล่อยไว้ อย่างนั้นให้มันโตแล้วค่อยจี้อีกครั้ง
ช่วงระหว่างนั้นยังไปช่วยน้องๆ เตรียมงานเอ็กซโปที่จะเปิดแสดงที่ ญี่ปุ่น
ไปอิตาลีเพื่อจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งก็สร้างความเครียดได้เช่น กัน


- คนในครอบครัวกลัว?
ผม
บอกลูกๆ ทุกคนว่าเป็นมะเร็ง เพราะเราไม่มีความลับกันในครอบครัว
เขา เห็นผมซมซานเวลาปวดท้อง เขารู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานอย่างไร
แต่เราก็ให้กำลัง ใจกันและกัน ไม่ทำตัวเป็นภาระของกันและกัน
ทำให้ในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะ มี ความสุข
ในยามที่ปวดท้องมากๆ ผมทำอะไรไม่ได้
นอกจากเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับ มาปวดท้องต่อ
ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับห้องน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะมีชีวิตอย่างนี้
ผมรักษาด้วยเคมีบำบัดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2548
ผลการตรวจค่าเซลล์มะเร็ง ตลอดระยะเวลาที่รักษามาไม่ได้ดีขึ้น
หลังกลับจากไปเยี่ยมลูกที่ออสเตรเลีย
กลับมาเมืองไทยประมาณธันวาคม
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง บางทีตื่นนอนก็ยากลำบาก
กว่าจะลงจากเตียงได้
ช่วงนั้นหน้าตาผมแย่มาก ร่างกายแย่จิตใจ ก็หดหู่ตามไปด้วย
ผมคิดมาก และคิดหนัก ตัดสินใจรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัด
ถึงกระนั้นก็ ยังต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพราะตับมีปัญหา เป็นมะเร็ง
ถึงตอนนี้ผมเผชิญ หน้ากับการรักษาต่อไป แต่เป็นการรักษาตามสภาพ
สำหรับภรรยาและลูกๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ภรรยาผมจะจัดการได้
ผม เชื่อว่าเขาจะต้องนำพานาวาชีวิตลำนี้ไปต่อได้
แม้ว่าอาจจะไม่
สบายเหมือนตอน
ที่ผมอยู่
ผมบอกกับตัวเองเสมอทุกวันว่า
"ผมไม่ยินดีที่จะตาย แต่ผมพร้อมจะตาย"

ตั้งแต่เป็นมะเร็งผมเริ่มคิดได้ว่า
ชีวิตนี้สอนคนมามากในฐานะครูบาอาจารย์
แต่คนที่ผมไม่เคยสอน ไม่เคยเตือน คือตัวเอง
จึงไม่เคยตั้งใจจะให้ ชีวิตผมเป็นแบบอย่างแก่ใคร
ไม่เคยคิดจะสอนใครอีก เพราะลำพังสอนตัวเอง
เตือน ตัวเองบ่อยๆ
ก็ยากพอแล้ว