Custom Search

May 31, 2012

คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว

ครอบครัว "ศุภทรัพย์" 

คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว ..พ่อคนเดียวเลี้ยงลูกสามคน
หนังสือคู่มือเลี้ยงลูกอีกเล่มหนึ่งที่ผมอ่านจบไปแล้ว
ได้ทั้งแง่คิด และอุทธาหรณ์สอนใจ
พ่ออย่างผมได้เป็นอย่างดี
และผมอยากให้พ่อแม่ทุกคนได้อ่านกัน
ก็คือหนังสือ ชื่อ “พ่อแม่มือโปร”
เป็นผลงานเล่มที่ 11 ของ
Project L (Love & Learn Project)
ร่วมจัดทำโดย บริษัท คอนเทนต์ แฟกตอรี จำกัด 
และสำนักงานกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เนื้อหาเล่มนี้นำเสนอสูตรสำเร็จเคล็ด(ไม่ลับ)
เลี้ยงลูกวัยรุ่นให้ได้ดีที่
ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง
ในการเลี้ยงลูกวัยรุ่นของพ่อแม่ลูกคนดัง 7 ครอบครัว
จากหลากหลายแง่มุม เช่น
ครอบครัวของคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ดร.กฤติกา คงสมพงษ์
คุณภูษิต ไล้ทอง
และครอบครัวของคุณทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เป็นต้น
โดยมีมนทิรา จูฑะพุทธิ
รับหน้าที่สัมภาษณ์และเรียบเรียง
ผมขอนำเรื่องที่ผมประทับใจมากที่สุด
คือเรื่อง “คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว”
ซึ่งเป็นครอบครัวของคุณทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์
นักแสดงหนุ่มที่สูญเสียภรรยาสุดที่รักไป
จนต้องกลายเป็นคุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว
เลี้ยงดูลูกวัยรุ่น 3 คนตามลำพัง
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่
ถ่ายทอดจากคุณพ่อคนนี้
เชิญอ่านได้เลยครับ
..ภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดใบหนึ่ง
ซึ่งวางรวมอยู่ในกองรูปที่เจ้าของบ้านชายคัด
เลือกมาให้ดูนั้นสะดุดความรู้สึกยิ่งนัก
เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งนอนหลับชั่วนิรันดร์อ
ยู่ท่ามกล่างลูกๆ ทั้งสามที่กำลัง
ก้มกราบแทบเท้าผู้เป็นแม่เป็นครั้งสุดท้าย....
คนเขียนรีบวางภาพใบนั้นลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยว่าสะเทือนใจเกินกว่าจะดูต่อไปได้
ความจากพราก ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
เป็นความรู้สึก ที่รู้ซึ้งเป็นอย่างดี
“ภาพนั้นเป็นภาพสุดท้ายของ ตุ๊ก(ปานฤดี ศุภทรัพย์)
ตอนที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล คุณทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์
บอกด้วยเสียงเรียบๆ พร้อมเดินทางนั่งข้างๆ
หลังจากแม่บ้านหาน้ำมารับรอง
ผู้หญิงที่เขาพูดถึงคือภรรยาสุดที่รัก
ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบ 20 ปี
คือแม่ของลูก 3 คน ที่กำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น
หลังจากล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งในไขกระดูก
และต่อสู้ด้วยความอดทนกว่า 3 ปี
ในที่สุดเธอก็จากไปอย่างสงบเมื่อปี 2548
ขณะที่มีอายุเพียง 43 ปีเท่านั้น!
ทิ้งให้ลูกชาย-หญิงอยู่ในความดูแล
ของผู้เป็นพ่อ...เพียงลำพัง
งานเขียนชิ้นนี้ร้อยเรียงจากทั้งบทสนทนาประสาพ่อ-ลูก
หลังจากเหตุการณ์ผ่านมาเกือบปี
และจากหนังสือที่ระลึกงานศพ
ซึ่งถ่ายทอดเนื้อหาความรักความผูกพันของพ่อ-แม่ –ลูก
ได้อย่างกินใจเหลือเกิน
...ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ
เรายังไม่พร้อมที่จะมีลูก
แต่เมื่อเมื่อคิดจะมี
ต้องบอกเลยว่าลูกมาจากการวางแผนทั้งหมด
ทุกขั้นตอนชีวิตจริงๆ ตุ๊กเป็นคนคิดทุกอย่าง
คิดตั้งแต่ลูกควรจะเกิดเดือนไหนถึงจะดี
ตุ๊กกางตำราตั้งแต่ต้น นับวันเพื่อหาวันไข่ตก
หาสูตรที่จะทำให้ลูกคนแรกของเราเป็นผู้ชายให้ได้
ต้องมีความเป็นกรดเป็นด่างอะไรยังไง
มานั่งนึกถึงตอนนี้ผมยังอดยิ้มไม่ได้
ขั้นตอนมันช่างมากมายและ
เราก็ช่างพยายามกันเหลือเกิน
ถ้าเรียกว่าผมเป็นฝ่ายผลิต
ตุ๊กก็เป็นฝ่ายข้อมูลแท้ๆ เลย
แล้วเป็นข้อมูลชั้นดีจริง เลยครับ
เพราะได้อย่างที่วางแผนไว้
ทุกอย่างทั้งเวลาเกิด
ทั้งเพศของลูก”
“ผมตั้งใจให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชาย
เพราะคิดเอาเอง ว่า
....ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้ชายเขา
จะเติบโตมาเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี
เขาจะเริ่มเรียนรู้บทบาทว่า
เขาต้องคอยปกป้องน้องผู้หญิง
คอยรู้จักให้ เพราฉะนั้นเวลามีแฟน
มีครอบครัว เขาจะรู้ว่า
ภรรยาเขาต้องมีคนคอยดูแล คอยปกป้อง
ในขณะที่น้องผู้หญิงก็มีพี่ชายหรือสามีคอยปกป้องดูแล
แต่ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้หญิง
เวลามีครอบครัวเขาจะคิดว่าเป็นผู้หญิงต้องเริ่มให้ผู้ชาย
เพราะเขาเป็นพี่ผู้หญิง
แล้วผู้ชายเป็นน้องก็คอยรับ
พอเวลามีครอบครัว
ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะเป็นผู้ชายที่คอยแต่รับ
ส่วนผู้หญิงก็คอยแต่ให้สามี ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่
นี่ผมคิดเอาเองนะ “ลูกชายคนแรกชื่อ “ แทนรัก ”
ผมตั้งเองเพราะแปลได้หลายความหมาย
เขาเป็นตัวแทนความรักที่ผมมีให้กับภรรยา
เป็นตัวแทนความรักที่เรามีต่อกัน
เป็นตัวแทนความรักที่ภรรยามีต่อผม
เป็นตัวแทนความรักของคนที่บ้านด้วย
เพราะเขาเป็นหลานคนแรกก็เลยใช้คำว่าแทนรัก
คือแทนรักของเราทั้งหมดเลย”
ลูกคนต่อมาก็ตาตำราเป๊ะ
ต้องเว้นห่างจากคนแรกสัก 2 ปี
เพื่อที่จะให้ลูกเกิดมาสมบูรณ์ที่สุดอะไรทำนองนั้น
คราวนี้ตุ๊กอยากได้ลูกสาว
แล้วอยากให้เกิดเดือนมกราคม
เหมือนพี่ชายคนโตด้วย
พอรู้แน่ว่าตุ๊กท้องผมจัดแจงไปเปิดบัญชีไว้เลยในชื่อ
“เปี่ยมรัก” ยังไงก็เป็นลูกสาวอยู่แล้ว
ตำราตุ๊กเขาไม่มีพลาดหรอก
ก็คราวที่แล้วอยากได้ลูกชายยังได้เลย
และแล้วนายปัญญ์ก็ออกมาจากท้องแม่
“ไม่รู้เหมือนกันว่าพลาดตรงไหน (หัวเราะ)
ตอนนั้นก็เริ่มมั่นใจมาก
เพราะลูกคนที่สองนี่พอเริ่มตั้งท้อง
เดือนก็ตรง ก็คิดว่าคลอดประมาณเดือนมกราคม
เหมือนคนแรก กำหนดคลอดของหมอ
ก็ออกมายืนยันในลักษณะนี้ เราก็มั่นใจ
ตอนอุลตร้าซาวนด์ หมอบอกว่าผู้ชาย
แต่ภรรยาก็ยังมั่นใจว่าด้วย
กระบวนการของเขาแล้วไม่มีทางพลาด
แต่หมออาจจะไปเห็นอะไรที่เป็นนิ้ว
อาจจะมีผิดพลาดที่เครื่อง
ก็เตรียมชื่อไว้เลย ...เด็กหญิงเปี่ยมรัก
ปรากฏคนที่สองออกมาเป็นผู้ชาย งงเลย
แล้วจะชื่ออะไรดีเนี่ย ก็เลยมานึกถึงชื่อพ่อ
พอดีพ่อตาผมชื่อ “ปัญญา”
ส่วนพ่อผมชื่อ “เทียนเพชร”
ก็เลยคิดเอาปู่กับตามารวมกัน
ก็เป็น “ปัญญ์เพชร” ย่อมาจาก ปัญญาเพชร
คือ ปัญญาเป็นเพชร
แล้วลูกสาวที่ตุ๊กอยากได้เป็นหนักหนา
ก็ตามมาเป็นคนสุดท้อง “เปี่ยมรัก”
ได้ใช้กันซะทีชื่อนี้ ส่วนคนสุดท้อง
ตอนนั้นยังไม่อยากได้ลูก
เพราะตอนได้ลูก 2 คน
ผมตั้งใจให้เขาห่างกันคนละ 2 ปี
เพราะเขาบอกว่า ถ้าปีต่อปีร่างกายแม่ยังฟื้นฟูไม่ดี
อย่างน้อยต้อง 2 ปี พอคลอดเสร็จ
ใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองสักปีเศษ
แล้วถึงจะเริ่มต้องท้องคนที่สอง
นี่คือสิ่งที่ภรรยาผมเรียนรู้มาจากการอ่านหนังสือ
“พอคนที่สาม พอดีมาซื้อบ้าน
ช่วงนั้นไม่มีสตางค์เลย
ก็เลยบอกว่าอย่างนั้นอย่าเพิ่งมีลูกเลยแล้วกัน
สองคนก็หนักแล้ว ทั้งเรื่องการเรียนด้วยอะไรด้วย
แล้วก่อนหน้านั้น....เดือนธันวาคม
ไปเที่ยวอเมริกา ก็พากันไปทั้งครอบครัว
กลับมาถึงก่อนปีใหม่ ผมมีงานถ่ายรูปที่สาทร
ซึ่งคืนสิ้นปีวันที่ 31 ผมไปงานเลี้ยงปีใหม่บ้านญาติ
กลับมาถึงบ้าน เราก็เออ.. ปีใหม่ ฉลองกันหน่อยมั้ย
แฟนก็บอกว่า โอ.เค. ช่วงนี้ปลอดภัย
เพราะเราจะรู้เวลา จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น
ผมไปถ่ายรูป ก็ไปโดนไฟดูด
แล้วคืนก่อนหน้านั้นแหละที่ติดลูกสาวคนนี้
ซึ่งก็ไม่ได้คิกว่าอยากจะมีตอนนี้เลย
ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก ช่วงนั้นบ้านหลังนี้กำลังจะเสร็จ
กำลังตกแต่งพอผมไปโดนไฟดูด
คนที่มาตกแต่งบ้านหลังนี้ เขาก็มาดูภรรยาผม
แล้วบอกว่าสามีมีคนมาช่วยนะ
มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาช่วยไว้ให้รอดชีวิต
เราก็เอ๊ะ เรามีลูกชายสองคน
จะเป็นไปได้ยังไง เราก็ไม่รู้ว่า
ตอนนั้นภรรยาจะตั้งท้อง
จนกระทั่งผมอยู่โรงพยาบาลได้เดือนกว่าน่ะ
เขาก็แพ้ท้อง เพื่อนยังแซวว่า
เอ๊ะมึงโดนไฟดูด มึงยังไปทำเมียท้องได้อีกเหรอ
แต่มันคาบเกี่ยวกัน
แค่ช่วงเวลาตอนเที่ยงคืนถึงเช้า
ตอนก่อนผมโดนไฟดูด นั่นน่ะเขามาแล้ว
แล้วบังเอิญเป็นผู้หญิงด้วย เราก็ดีใจ
แต่มันก็เศร้าๆอยู่ เพราะยังไม่พร้อม
แต่ก็ โอ.เค. ได้ผู้หญิงด้วย
ซึ่งถ้าเกิดเราเข้าสูตร เราอาจก็จะไม่ได้ก็ได้
แต่นี่บังเอิญและเป็นเรื่องบังเอิญ
ที่เขาต้องไปเกิดปลายปี คือเดือนกันยายน
และคนนี้ก็ได้ใช้ชื่อ “เปี่ยมรัก”
ที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรก “สรุปว่าแต่ละคนห่างกัน 2 ปี
ส่วนคนสุดท้อง 2 ปี 8 เดือน
คนโตเกิดปี 2533 คนที่สองเกิดปี 2535
คนที่สามเกิดปี 2537 ตอนแรกตั้งใจว่าจะมี 5 คน
แต่พอช่วงเกิดอุบัติเหตุ ช่วงนั้นก็แย่เลย
เพิ่งซื้อบ้านด้วย แขนตอนนั้นก็ไม่คิดว่า
จะกลับมาใช้การได้ดีอีก
หมอที่รักษาก็บอกว่าเราจะใช้ได้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์
นั่นคือดีที่สุดที่จะกลับมาใช้แขนได้
เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่าอาชีพถ่ายรูป
ก็คงจะไม่ได้เท่าเดิมอีกแล้ว
การแสดงก็คงจะกลับมาเล่นละครลำบาก
ต้องหยุดการแสดงไปเป็นปี เพื่อดูแลดูเอง
ก็เลยคิดว่ามี 3 คน ก็พอแล้วล่ะ
ครอบครัวเรามีอยู่ด้วยกัน 5 คน
ผมเคยนึกขำความคิดความหวังเรื่อง
“เปี่ยม ของตุ๊ก เปี่ยมเองก็เถอะ
แม่อยากให้ทำอะไรก็ทำ
อยากให้เรียนบัลเล่ต์ใช่ไหม –
ไปเรียนก็ได้ ให้ไปเรียนเรียนเปียโนหรือ
แม่ชอบเปี่ยมก็ชอบ ดูเหมือนผู้หญิงจะ
ไม่เคยอยากมีชีวิตอยู่กับความจริง
เอาเสียเลยในความคิดผม
ตุ๊กไปแล้ว ถึงผมจะไม่รู้แน่ว่า
“แทน” และ “ปัญญ์” กำลังทำอะไรอยู่
จ้าลูกชายสองคนที่ปฏิเสธ
ไม่ยอมมาด้วยกับเราในคืนนี้
ผมเชื่อว่าเขาต่างก็กำลังต่อสู้กับ
ความทุกข์ครั้งใหญ่อยู่ที่มุมไหนสักมุมใน
บ้านของเรา เพียงแต่เขาขอที่จะไม่มา
ขอที่จะไม่เห็น และผม –
ถึงจะรู้มานานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง
บอกทุกคนอยู่เสมอว่านี่คือเรื่องธรรมดาสามัญ
ไม่มีใครสักคนที่จะหนีรอด
ไม่เจอะไม่เจอกับความตาย
แต่ผมก็ยังรู้สึก – แย่ เปี่ยมร้องไห้อยู่ตรงนี้
ผมรู้ว่าน้ำตาของลูกไม่ใช่ความอ่อนแอ
ลูกกำลังต่อสู้กับความทุกข์หนัก
นี่คือการพลัดพรากอย่างแท้จริง
ครั้งแรกในชีวิตของเขา
แต่เปี่ยมก็เผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ
และอดทนเหลือเกิน
ไม่ได้ต่างอะไรกับแม่-คือตุ๊ก
ที่ต่อสู้และเข้มแข็งกับโรคร้าย
ซึ่งในที่สุดก็ยื้อชีวิตไปจากเขาจนได้
ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว
ที่พยายามสอนลูกเมียเรื่องนั้นเรื่องนี้
เรื่องที่ผมคิดว่าถูกต้องมาตลอด
คือผู้ชายต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นฝ่ายปกป้องผู้หญิง
แต่วันนี้มีบางอย่างที่
ผมอาจจะไม่ได้คิดถูกทั้งหมด
นั่นก็คือเรื่องที่ผมเคยขำพวกผู้หญิง
กับความเพ้อฝันที่ไม่เห็นจะเป็นเรื่อง
เป็นราวอะไร นอกจากจะแสดง
ให้เห็นด้านที่อ่อนแอของมนุษย์
วันนี้ ผู้หญิงทั้ง 2 คนในชีวิตผม-ตุ๊กและเปี่ยม
ได้สอนให้ผมรู้ชัดแล้วว่าผู้หญิงนี่แหละ
ที่ช่างเข้มแข็งเหลือเกิน
“ภรรยาผมเขาจะเลี้ยงดูลูกแบบตลอด 24 ชั่วโมง
บางทีสิ่งที่เขาทำ กับสิ่งที่ผมมองมันคนละเรื่องกัน
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเขา
อย่างการที่เขาขับรถไปส่งลูกถึงโรงเรียน
ผมนอน เพราะถ่ายละครดึก
กลับมาตีสาม หกโมงครึ่งภรรยาโทรมาบอก
ลูกลืมกระเป๋า ผมต้องตื่นไปหน้าปากซอย
เรียกมอเตอร์ไซด์หน้าปากซอย
ให้เอากระเป๋าไปส่งที่โรงเรียน
ซึ่งผมไม่เห็นด้วยนะ ผมคิดว่าถ้าลูกลืม
เขาก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาลืม
เขาต้องไปรับหน้าตรงนั้น
เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าวันหลังเขาจะได้ไม่ลืม
แต่ผมพูดในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล
ในขณะที่แม่เขาพูดถึงเรื่องความรัก
ความเห็นอกเห็นใจ เขาเข้าใจว่าลูกไม่ตั้งใจจะลืมหรอก
ในเมื่อเราช่วยเขาได้ก็น่าจะช่วย
ซึ่งสุดท้ายผมก็ต้องตามใจแม่
ซึ่งพอวันนี้ผมก็เข้าใจว่า เออ..นะ
สิ่งที่ผมมองกับสิ่งที่เขามอง
มันก็ถูกทั้งคู่ แต่เราจะเอาตรงไหน
มาทำมากกว่ากัน
ถ้าเราบอกว่าเราจะสอนให้เขาเป็น
เด็กที่มีความรับผิดชอบ จริงๆ มันก็ไม่ใช่
ทุกวันนี้ผู้ใหญ่บางคนออกจากบ้าน
ยังลืมมือถือเลย ทุกคนมีประสบการณ์
ที่ไม่ได้อยากลืมของ แต่มันลืมน่ะ
ก็คงจะดีใจ ของพวกนี้บางทีเด็กโตมาก็รับรู้ได้เอง
“วันที่แม่เขาไม่อยู่แล้ว ผมจึงเข้าใจเขามากขึ้นว่า
เออ วันนั้นเขาเข้าใจแบบนี้
ผมก็เข้าใจแบบนี้ แต่ความเข้าใจของเขา
เขาเข้าใจด้วยความรัก
ส่วนผมมองด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า”
“อย่างวันนี้ผมทำกับข้าวให้ลูกกิน
ปกติผมชอบทำกับข้าวให้ลูกกิน
ลองคิดดูเราเสร็จปุ๊บ
มีของทุกอย่างบนโต๊ะขาดซอสมะเขือเทศ
ที่ต้องกินกับไข่เจียว ถ้าเป็นแม่เขา
ลูกบอก แม่ไม่มีซอส แม่ก็จะวิ่งไปเอา
ขณะที่เราเป็นพ่อเราทำเสร็จเรียบร้อย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราก็จะบอกลูกไปเอาเองสิ
พ่อทำเหนื่อยแทบตายแล้ว
ซอสแค่นี้ลูกน่าจะไปหยิบเอง
แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าเราต้องเดินไปเอามาให้ลูก
เพราะด้วยความรักไง
แม่เขาเคยทำแบบนี้ด้วยความรัก
พอผมมาอยู่ตรงจุดนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า
วันนั้นทำไมแม่เขาถึงเดินไปเอามาให้”
“วันนี้ผมก็พยายามที่จะใจเย็นลงมากๆ
เพราะว่าแม่เขาไม่อยู่แล้ว
ผมยิ่งต้องใจเย็นให้มากกว่าเดิม
เมื่อก่อนผมเลี้ยงลูกมา
ผมตีจนกระทั่งลูกคนโตอยู่ ป.6 น่ะ ถึงได้หยุดตี
แต่ไม่ใช่โมโหแล้วตีนะ ต้องทำผิด
ถามลูกได้เลย จะเรียกว่า “ประชุม”
เขาจะรู้เลยถ้าเรียกประชุม
วันอาทิตย์บ่ายๆ นี่เอาแล้ว
ต้องเตรียมตูดไว้แล้ว สัก 3 เดือนครั้ง
หรือ 6 เดือนครั้ง ประชุมทีก็ไล่มาเลย
ผิดเรื่องอะไรบ้าง ทำไมถึงผิด
ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้
แล้วก็ไปคิดกันมาเองแล้วกัน
ว่าผิดขนาดนี้จะโดนสักกี่ที
บางทีคนโต 3 ที คนเล็ก 2 ที
แต่ผมก็บอกเขาเสมอว่า
ที่ทำโทษนี่เพราะโตมา
อยากให้รู้ว่าเวลาอยู่ในสังคม
ทำผิดแล้วต้องโดนทำโทษ
อยู่ในบ้านยังให้อภัยกันได้
แต่อยู่ในสังคมข้างนอกต้องโดนทำโทษ
ผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไข ต้องมาคุยกัน
เพื่อให้เขายอมรับในความผิด
แต่จะไม่ตีเขาด้วยอารมณ์
เพราะผมถือว่าการตีด้วยอารมณ์
เป็นการระบายความโกรธมากกว่า”
“ผมดูแลลูกทุกคนเท่ากัน
และบอกลูกเสมอว่ารักเท่ากัน
เพียงแต่ช่วงเวลานี้
ต้องดูแลคนนี้มากกว่า
ช่วงเวลานี้ต้องดูแลคนนี้มากกว่า
อย่างตอนนี้เป็นช่วงของคนกลางกับคนเล็ก
เพราะคนเล็กเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลง
เริ่มมีฮอร์โมน เริ่มจะโตเป็นสาว
เริ่มต้องการคำปรึกษา
ส่วนคนกลางค่อนข้างจะอารมณ์แรง
ส่วนคนโตก็คุยกันในเรื่องประเด็นสำคัญๆ
ซึ่งเขาก็เข้าใจ” ถ้าใครบอกว่า
การเป็นแม่บ้านสบายไม่ต้องทำอะไรเลย
รอสามีเลี้ยงอย่างเดียวก็ต้องลองมาเป็นดูครับ
เพราผมเองจากที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า
ตุ๊กเขาทำอะไรอยู่ พอมาถึงวันที่ตุ๊กไม่สบายมากๆ
แล้วผมต้องดูแลลูก 3 คนแทนเข้า
บอกได้คำเดียวว่า ให้ผมออกไปทำมาหากิน
ลำบากลำบนยังไงก็ยังง่ายกว่า
ผมไม่เคยรู้ว่าก่อนเลยว่า
แค่ไปรับลูกที่โรงเรียนทุกวันๆ
มันมีเรื่องให้ต้องอดทนมากแค่ไหน
บางวันผมทำงานถ่ายรูปมาแล้วทั้งวัน
ผมเร่งที่สุดเพื่อที่จะมารับเขาให้ทัน
ตุ๊กบอกกับผมอยู่ตลอดเวลาว่า
เวลาไปรับลูกอย่าให้ลูกรอ
เขาคิดแทนลูกว่าถ้าลงบันได
มาแล้วไม่เห็นหน้าพ่อ-แม่
ลูกจะใจเสีย แต่บางวันผมมา
ถึงโรงเรียนลูกกลับไปห่วงเล่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ถ้ารับแล้วกลับบ้านเลยผมก็ไม่เดือดร้อนหรอก
แต่หลังจากไปส่งเขาที่บ้านแล้ว
เราต้องออกมาอีกเพราะมีคิวละครจ่อรอเราอยู่
บอกจริงๆ ผมแทบจะบ้าตาย
ตุ๊กนั่นแหละที่บอกผมว่าเด็กก็คือเด็ก
จะให้เขารับผิดชอบเท่าผู้ใหญ่เขา
ก็คงไม่ใช่เด็กอีกต่อไป
ไม่มีเด็กที่ไหนมานั่งรับรู้อะไรมากมายหรอก
ตุ๊กสอนให้ผมใจเย็น สอนให้รู้จักวิธีพูดกับลูก
เขาพูดอย่างหนึ่งที่ผมต้องยอมรับ
นั่นก็คือถ้าผมเอาแต่ใช้อารมณ์
และไม่เอาใจเราไปใส่ใจเด็กๆ
ผมกับลูกก็จะห่างกันออกไปเรื่อยๆ
ซึ่งพ่อที่ไหนก็คงไมต้องการให้เป็นแบบนั้น
“วิธีการเลี้ยงลูกผมได้จากภรรยาเยอะมาก
ในเรื่องของความใจเย็น ต้องใจเย็น
ต้องให้ความรัก ในขณะที่เราก็ให้ความรัก
แล้วเราก็ใช้ความเป็นเหตุเป็นผล
ซึ่งพอเป็นเหตุเป็นผล
มันไม่ใช่เรื่องความรักแล้ว
สองอย่างนี้มันต่างกันมาก
เพราะว่าถ้าใช้ความรัก
ผมว่าในวันหนึ่งมันจะช่วยได้
ถ้าใช้ความเป็นเหตุเป็นผล
เพราะว่าบางที..เด็กก็คือเด็กน่ะ
อย่างเราไปห้ามเขาว่าลูกต้องใช้เงินขนาดนี้
เด็กจะรู้มั้ยเหตุผล หรือสมมุติว่า
เราเอาทุกอย่างมาอธิบายให้เขาฟัง
อย่างเช่นวันนี้ไม่มีแม่นะลูก
รู้มั้ยพ่อต้องทำงานหนักขนาดไหน
พ่อต้องตื่นเช้าตีห้า
เพื่อทำธุระส่วนตัวทุกอย่างให้เสร็จ
ไม่เกินหกโมงพ่อต้องไปส่งลูกที่
ออกกำลังกายที่สวนลุมฯ
ประมาณแปดโมง

ตั้งแต่แปดโมงถึงเก้าโมงครึ่ง
เสร็จแล้วอาบน้ำอาบท่า
ไปทำงานถ่ายรูปที่หนังสือพลอยแกมเพชร
ถ้ามีถ่ายแฟชั่นเช้าแปดโมง
วันนั้นอาจจะไม่ต้องวิ่ง
จากนั้นก็ต้องไปถ่ายละคร
บางทีถ่ายละคร 2 เรื่อง
ถ้ามีถ่าย 2 เรื่อง
อาจจะขอเว้นช่วงกลางประมาณห้าโมง
เพื่อกลับมารับลูกกลับบ้านก่อน
แล้วพ่อถึงจะกลับไปถ่ายละครต่ออีกที
หนึ่งถึงสองทุ่ม กว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืน
ตีหนึ่ง ตีสอง ตีสี่ บางทีก็ตีห้า
แล้วกลับมารับลูกไปโรงเรียน
นี่ยังไม่รวมกิจกรรมงานสังคมที่
พ่อต้องไปช่วยเหลือเขาอีก
ถามว่าเด็กขนาดนี้จะให้มานั่งเข้าใจว่า
โห พ่อต้องทำงานหนัก
เดินไปซื้อน้ำ แล้วเดินมาขึ้นรถ
ขณะที่เราต้องรีบกลับไปส่งเขาที่บ้าน
แล้งวิ่งไปถ่ายละครต่อ
ถามว่าหงุดหงิดมั้ย ...หงุดหงิด
กว่าจะฝ่าการจราจรมารับพวกคุณได้
เป็นอย่างนั้นมา 2 – 3 ครั้งแล้ว
รู้สึกหงุดหงิดมาก
แต่พอกลับมานั่งคิดถึงที่แฟน
คุยเคยคุยกับผมเออ
มันไม่ได้อยู่ที่เขา มันอยู่ที่เรา
ถ้าเราไม่แฮปปี้เราอย่ามารับเขาดีกว่า
ถ้าเราคิดว่าการที่เรามารับเขาแล้วแฮปปี้ เราก็แฮปปี้
และเราต้องทำให้เขาแฮปปี้ด้วย เพราะเมื่อขึ้นรถแล้ว
เริ่มบ่น.. ทำไมช้า ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ จบ

กิจกรรมตรงนั้นมาคุยทันที
บรรยากาศตรงนั้นจะเสียเลย

ทุกคนจะเงียบ ซึ่งมันไม่เกิดประโยชน์อะไร”
“ในทางกลับกันถ้าลูกมาถึงไม่ว่าอะไร ไม่เป็นไรลูกพ่อไปสายนิดหน่อยก็ได้
แต่เขาจะรู้ว่าเขาผิด เขารู้ว่าเขาเลท บรรยากาศมันจะเริ่มคลี่คลาย
ต่อไปพอเขาเริ่มโต พ้นช่วงนี้ไป เขาก็จะเริ่มย้อนคิดได้เองว่า
พ่ออดทนและพ่อทำเพราะรักเขา”
“ยิ่งระยะหลังๆ มานี่ ผมจะหันมาใช้วิธีนี้ ไม่ว่า ไม่ดุ พยายามคุยกับเขาด้วยเหตุผล
ไม่ใช้อารมณ์ แล้วก็กลับมาเริ่มใจเย็น เพราะผมเชื่อว่าเขารู้หมดแล้วล่ะว่าอะไรถูกผิด
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ ด้วยวัยของเขาซึ่งตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ดังนั้น จากประสบการณ์ของผม ควรใช้ทั้งความรักและเหตุผลควบคู่กัน
เพียงแต่ว่าเราต้องเทน้ำหนักไปที่ความรักให้มาก
คือเหตุผลเราก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง แต่อย่าใช้อารมณ์
เพราะผมเชื่อว่าการใช้อารมณ์ ใช้ความโกรธ
มันเป็นการระบาย มันไม่ใช่การสอน”
“แต่ผมไม่ได้บอกว่าใช้ความรักหรือไม่ใช้อารมณ์
มันจะไม่ผิดพลาดนะ มันก็ยังผิดพลาดได้
เตือนแล้วบางทีก็ยังพลาด แต่ถ้าเอาแต่ใช้อารมณ์
มันจะกลายเป็นความกลัว กลายเป็นกำแพงมากกว่า
ไม่มีใครชอบหรอก “พ่อบอกลูกแล้วใช่ไหม”
ห้ามพูดเด็ดขาด มันไม่มีปะโยชน์ที่จะพูด
ถ้าเราจะพูดประโยคที่ดีตามมาอยู่แล้ว
มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไร
ในสิ่งที่ทำให้คนฟังรู้สึกแย่ เราเลี่ยงที่จะพูดได้”
โลกนี้ไม่เคยมีด้านเดียว ในความทุกข์ในความเจ็บป่วยแสนสาหัส
หากเลือกมองว่า ทุกข์ทั้งหมดนั้นคือปัจจัยที่จะทำให้เราได้เข้าใกล้
หนทางไปสู่ดวงตาเห็นธรรม ด้วยการเรียนรู้จากความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ทุกข์ก็มีด้านดีแฝงอยู่ นี่คือธรรมดาของโลก
“บังเอิญโชคดีตรงที่ตอนที่ลูกเริ่มเป็นวัยรุ่นช่วงนั้นแม่เขาไม่สบาย คือ
พอคนไม่สบายปุ๊บ วิธีการมองชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งตัวผมเองก็เป็น
ตอนที่ผมเกิดอุบัติเหตุ ผมก็มองชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
เราก็เห็นว่า เออ ความสำคัญของการใช้ชีวิตมันไม่ได้อยู่ตรงนี้เพียงอย่างเดียว
ก็นำมาปรับเรื่องการเลี้ยงดูลูกเหมือนกัน
เมื่อลูกโตขึ้นเราก็ไม่คาดหวังว่าลูกจะต้องประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจ
ทำงานดีๆ แค่วันนี้เขาไม่ป่วยเป็นโรค แข็งแรงกว่าเด็กคนอื่น เราก็แฮปปี้แล้ว
วันนี้เขาอาจจะสอบตกไปสัก 3 วิชา แต่เขายังแข็งแรง
ไม่ต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาล เราก็แฮปปี้แล้ว
เราก็ใช้ความรู้สึกนั้นมาบอกตัวเอง”
“อย่างคนโต เขาจะมีปัญหาช่วงม.ต้น เขาอายเพื่อน
ส่วนใหญ่เด็กผู้ชายจะเป็น เริ่มไม่อยากให้มารับมาส่งแล้ว
กลัวเพื่อนหาว่าเป็นลูกแหง่ ทำไมต้องชื่อ “แทนรัก”
จะเปลี่ยนชื่อ ภรรยาผมไม่ยอม แต่พอมาคุยกับพ่อ
พ่อให้เปลี่ยน ก็ตามใจลูกสิ ชื่อลูกเองน่ะ
แต่จะเปลี่ยนได้ก็เมื่ออายุ 20 ยินดีให้ไปเปลี่ยนเลย
แต่รอให้มีความคิดมากกว่านี้ก่อน ไม่อยากให้พ่อเล่นหนัง
ทำไมพ่อต้องเล่นหนัง คือคงโดนเพื่อนล้อ เราก็เข้าใจ ก็โอ.เค.
พ่อไม่เล่นก็ได้ พอดีช่วงนั้นภรรยาเริ่มไม่สบายด้วย
คือสุดท้ายมันเป็นแค่ความพยายามนิดๆ หน่อยๆ ที่จะต่อต้าน
หรือประท้วง แต่ผมก็เปิดโอกาสให้เขาแสดงความตั้งใจออกมาเต็มที่
ผมว่าในความคิดเขามันเป็น แค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นความคิดวูบวาบๆ
ถ้าเราไปปฏิเสธเลยมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ในที่สุดเขาเลือกเองที่จะไม่เปลี่ยนชื่อ
เรียบร้อย เขาโทร.มาบอก อยากไปโรงเรียนแล้ว

ผมก็โอ.เค. กลับไปรับลูกไปส่งโรงเรียน”
“หลายคนถามว่า... ทำไมปล่อยให้ลูกเป็นขนาดนี้
ปล่อยให้มีแฟนสุดท้ายแล้วก็ต้องอกหัก
ผมรู้สึกว่ามันเหมือนทุกคนต้องเป็นฝีน่ะ
ทุกคนเกิดมาต้องเป็นอีสุกอีใส แต่ถ้าลูกเราเป็นก่อน
แผลก็หายเร็ว เวลานี้เขาก็มีประสบการณ์
และถ้าเขาเป็นในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่
เรายังคอยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาได้ ปลอบใจได้
ผมคุยกับเขาว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตจะต้องเกิด
มันเกิดขึ้นกับทุกคนและมันก็เกิดขึ้นกับเราได้
เพราะฉะนั้นเราก็แค่ระวัง...เท่านั้นเอง
ถ้าเราไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้ ถ้าเราไม่อยากจะจากคนที่เรารัก
มันมีวิธี คือเราก็อย่าเจอ ถ้าเราไม่เจอ เราก็ไม่จาก
ถ้าเราไม่อยากอกหัก เราก็ไม่ต้องรักใคร ถ้าเรารัก
ก็ต้องมีวันแบบนี้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะไม่ใช่ลูกคนเดียวที่เจอ คนอื่นเขาก็เจอ”
“อย่างวันนี้เขาจะเกเร ก็ให้มาบอกเขาตรงๆ
อย่างเขามาขอผมโดดเรียน ผมยังให้โดดเลย
ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าบอกว่าโดดเรียนแล้วเราไม่ให้
ถึงเราไปส่งเขาหน้าโรงเรียน เขาก็โดดได้ เราก็ไม่รู้อยู่ดี
หรือถ้าเราจะรู้มันก็เป็นปัญหาอยู่ดี เพราะฉะนั้นฟังเหตุผลเขาดีกว่า
ทำไมอยากโดดเรียน ไม่อยากเรียน เพราะวิชานี้ไม่ชอบ
วันนี้จะโดนจับเรื่องผม ขออีก 2 วันค่อยตัดแล้วกัน
เขามีเหตุผล ผมว่าทั้งหมดนี้อยู่ที่เขาตัดสินใจ”
“ผมมองว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกคนไหน อายุเท่าไหร่
ผมจะสอนเขาเรื่องการตัดสินใจเสมอ
ผมกับภรรยามองว่าเป็นเรื่องของการสะกดจิต
พูดในเรื่องที่ดีๆ กับเขา อธิบายให้เขาฟัง
วันนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ แต่ผมจะพยายามบอกเขาว่า
ทุกอย่างพ่อให้ข้อมูล แล้วลูกตัดสินใจเอา
ยังไงก็ได้ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เพราะในอนาคตโตขึ้นมา
ทุกอย่างก็ยังต้องตัดสินใจอยู่ วันนี้จะแต่งงานหรือเปล่า
วันนี้จะเลิกคบกับแฟนคนนี้มั้ย วันนี้จะไปกินเหล้ากับเพื่อนหรือเปล่า
วันนี้จะเปลี่ยนงาน หรือจะคบเพื่อนใหม่ ทุกอย่างต้องตัดสินใจ
เพราะฉะนั้นถ้าหากลูกไม่หัดตัดสินใจเลย
ทุกอย่างจะมาให้ผมเป็นคนทำให้ ไม่ใช่
ผมทำให้ไม่ได้ ผมแค่ให้ข้อมูลได้”
“คนกลางเขาจะมีปัญหาเรื่องอารมณ์ จะออกนักเลงๆนิดหนึ่ง
อยากเป็นผู้นำ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะทั้งที่เลี้ยงมาเหมือนๆ กัน
เพราะตอนเด็กๆ เขาจะเป็นเด็กใจเย็น แต่ทำไมอยู่ๆ
มาเป็นคนแบบขี้หงุดหงิด แต่คงด้วยวัยและอายุย่าง 15
เขาเป็นนักกีฬา เวลาไปแข่งกีฬา

ใครมามองหน้าฮึดฮัด เดี๋ยวจะไปซัดเขา
กรรมการมาเตือนเรื่องเอาเสื้อออกนอกกางเกง
ห้ามเหยียบส้นรองเท้า เฮ้ย เดี๋ยวเอาปืนมายิงให้ตายหมดเลย
เดี๋ยวไปยกพวกมาเลยดีมั้ยเนี่ย จะเป็นอย่างนี้
ซึ่งเราก็จะต้องใจเย็น คอยบอกเขา”
“อย่างแข่งกีฬาที่ผ่านมา ได้เหรียญทองมา
ซื้อเบียร์มากินกันที่ห้องเก็บตัวในโรงเรียน
อาจารย์ฝ่ายปกครองจับได้

โทร.มาหาผมตอนสี่ทุ่มให้มารับกลับบ้าน
ก็โอ.เค.ครับอาจารย์ แต่ตอนนี้ผมไม่ว่างเลย
ถ้าอาจารย์จะตัดสิทธิเขา หรืออะไรก็โอ.เค.
แต่สุดท้ายก็ไม่ตัดสิทธิ เพราะเขาฝีมือดี
ต้องไปชิงเหรียญ อาจารย์อนุโลมให้ไปบำเพ็ญประโยชน์แทน
พอตกลงคุยกันเสร็จเรียบร้อย
เจ้าปัญญ์นี่ก็เสียหน้าที่ถูกจับได้ โทรมาหาผม
พ่อไปบอกอาจารย์เลยว่าจะกลับ ไม่อยู่แล้ว ไม่แข่งแล้ว เลิก
ตอนนั้นคงมึนด้วย กินเบียร์เข้าไปผมบอกใจเย็นๆ ก่อน”
อย่างคนโตกินเหล้าตอนแรก ๆ ช่วง ม.3-ม.4 ผมบอกว่า
ถ้าจะกินบอกพ่อ พ่อจะได้ไปนั่งด้วย

เพราะถ้าไปนั่งกินในร้านแล้วถูกจับ
เขาก็แย่นะ ครอบครัวเขาก็จะแย่เพราะร้านเขาถูกปิด
เพราะฉะนั้นบอกพ่อ คือจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน
คุณทำเรื่องแย่ๆ ทำเรื่องเลวๆ มันก็แย่อยู่แล้ว
แต่มันจะแย่มากขึ้นถ้าเราไปทำให้เขาเดือดร้อน
ถ้าจะกิน มากินที่บ้าน ไม่ได้ส่งเสริม แต่จะทำอย่างไรล่ะ
ถ้าเขาแอบไปกินก็ทำได้อยู่แล้ว ด้วยวัยของเขา ก็บอกเขา”
“อย่างคนกลางที่วันนั้นถูกจับได้เรื่องกินเบียร์ก็เฉยๆ
ทำยังไงล่ะ กินไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ในส่วนที่เราควบคุมได้
จริงๆ แล้วก็ต้องอยู่ในส่วนที่โรงเรียนจะต้องรับผิดชอบดูแลด้วย
ป้องกันอย่างไร ตั้งแต่ประตูยาม ถืออะไรเข้ามาต้องดู
และบางทีเขาก็เคยเห็นภาพฉลองด้วยการกินเบียร์
ผมก็แค่บอกเขาว่า สิ่งที่ลูกทำตรงนี้มันผิดระเบียบโรงเรียน
ถ้าลูกถูกไล่ออกจะให้ทำอย่างไร พ่อก็ทำได้แค่ขอร้อง
แต่เขายังยืนที่จะลงโทษ เราก็ต้องออกนะลูก ก็แค่หาโรงเรียนใหม่
แต่นั่นคือสิ่งที่ลูกกำลังทำ

ลูกต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกกำลังทำ
นี่คือกฎระเบียบ ถ้าทำตามกฎระเบียบไม่ได้

ลูกก็อยู่ในสังคมไม่ได้
ลูกไม่ชอบกฎระเบียบไม่เป็นไร แต่ลูกยังอยู่ในสังคม

ซึ่งต้องมีกฎระเบียบแล้วลูกจะอยู่อย่างไร
ลูกต้องเลือกผมบอกลูกเสมอว่า
คนเดียวในโลกที่จะทำร้ายเราได้
คือตัวเราคนเดียวในโลกที่จะทำให้เราดีได้
คือตัวเรา ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราพ่อแม่
เป็นเหมือนคนแนะนำ
อย่าคาดหวัง ลดความคาดหวังตัวเองลง

แล้วเรามีความสุข
พ่อแม่ไม่มีความสุขคือคาดหวังไว้เยอะ


แต่นี่พูดถึงความคาดหวัง

ผมไม่ได้บอกว่าให้พยายามน้อยนะ
ยังพยายามเยอะอยู่แต่คาดหวังให้น้อย
“ส่วนคนเล็กก็ไม่ค่อยเท่าไร ปกติเขาจะเป็นคนเรียนดี
แม่เขาก็จะเคี่ยวเข็ญกลับมาติวหนังสือ ดูหนังสือสอบก็เกรด 4 ทุกวิชา
ซึ่งได้ 80% ก็เกรด 4 แล้ว ถ้าได้ได้เกิน 85%
ของทุกหมวดวิชาเขาจะได้เกียรติบัตร
ซึ่งเขาได้มาทุกปี พอปีที่แล้วที่แม่เขาเสีย
ผมก็พยายามสอนเขาว่า ก่อนหน้านี้ที่ลูกได้เกียรติบัตร
เป็นเพราะแม่ติว
แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ลูกต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว
ว่าได้เพราะตัวเองหรือเปล่า ถ้าลูกอยากจะได้เกียรติบัตรนี้
ลูกต้องทำ แต่ถ้าลูกไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร
แต่วันหนึ่งเมื่อผ่านไปแล้ว ลูกมองกลับมาลูกจะเสียดายหรือเปล่า
เพราะลูกเคยได้มาทุกปี”
“ปีนี้น้องเปี่ยมเริ่มมาเล่นกรีฑา เพราะเพื่อนสนิมเขาเล่นกรีฑา
ก็มีปัญหาบ้างเหมือนกัน คือพอซ้อมกีฬาเสร็จแล้วชอบเดินเล่นไม่ยอมเข้าห้องเรียน
จนทำให้คะแนนสอบตกลง เริ่มส่งการบ้านช้า
ผมก็เริ่มคุยกับเขา ถ้าแม่อยู่นะ เห็นแนวโน้มพาไปเสียการเรียน
แม่ให้ลูกเลิกแล้วล่ะ เปี่ยมก็รู้ลูกต้องอยู่ให้ได้ในสังคม
ไม่ใช่เฉพาะตรงนี้ วันหนึ่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย
สอบเข้าได้คณะดีๆ ลูกก็จะมีกลุ่มเพื่อนที่ชวนไปเดินห้าง
แล้วถ้าลูกอยากจะเรียน แต่ถูกดึงไปเดินห้าง ก็เรียนไม่ได้
ซึ่งลูกต้องผ่านตรงนี้ให้ได้ แม้เมื่อลูกจบปริญญาไปทำงาน
ก็จะมีกลุ่มเพื่อนที่ไม่ชวนทำงาน แต่ชวนเที่ยวดึก
แล้วเช้ารุ่งขึ้นต้องมาทำงาน เพราะฉะนั้นถ้าลูกอยากจะเที่ยวดึก
ลูกต้องมาทำงานให้ได้ด้วย นี่คือความรับผิดชอบ
และถ้าให้ได้ดีที่สุด ลูกต้องดึงเพื่อนกลับมาเรียนหนังสือให้ได้ด้วย
ไม่ใช่เฉพาะตัวลูกเอง ผมก็พยายามสอนจนเขาปรับตัวขึ้นมาได้”
“อย่างพอผมมาดูแลลูกๆ ตอนที่แม่เขาไม่อยู่แล้ว
ลูกก็จะบอกว่าขอตังค์พ่อ ไม่เหมือนขอตังค์แม่ เรารู้สึกแล้วนะ
เออ ทำไมไม่เหมือน เพราะเราอยากทำให้เหมือน
เราอยากทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาด เราก็เริ่มปรับ
อ๋อ ขอตังค์พ่อมันเป็นอย่างนี้ ขอตังค์แม่เป็นอย่างนี้
ยกตัวอย่างเขาจะพาเพื่อนไปดูหนัง ถ้าขอตังค์พ่อ
พ่อก็ให้เท่านี้ 300-500 บาท เขาไม่ได้ระบุตัวเลขมา
แต่เราก็ดูว่า เออ ค่าหนังมันเท่านี้ 150 บาท
ค่ากินข้าว ค่ารถ สัก 400 น่าจะพอ
แต่ขณะที่เป็นแม่เขาก็จะเอาไปเลย 700 บาท
จะเผื่อไว้ให้ ซึ่งลูกจะบอกขอตังค์พ่อบางทีนั่งรถกลับบ้านตุ๊มๆ ต่อมๆ
ว่าจะพอหรือเปล่า แต่ถ้าแม่ให้มีเหลืออยู่แล้ว
เพราะแม่เขาจะเผื่อ ในขณะที่เราก็จะแบบ...ต้องใช้ให้พอดี นะลูก
ต้องรู้จักคุณค่าของเงิน เพราะเราเป็นคนหา ซึ่งประเด็นนี้มันก็ต่างกันแล้ว
แต่พอมันเป็นความต่างที่ลูกรู้สึกเราก็ต้องปรับ
หรืออย่างบางทีเขาบอกว่าพ่อกอด กับแม่กอด คนละแบบ
มันก็คนละแบบอยู่แล้ว เพราะเราเป็นพ่อ แต่พอเขาไม่มีแม่
เราก็อยากจะกอดลูกให้เหมือนกับที่แม่เขากอด พยายามจะเล่นกับเขา
กุ๊กกิ๊กกับเขามากขึ้น เหมือนตอนที่แม่เขาอยู่ คือมันคงลำบาก
และมันคงจะเหมือนยาก แต่ผมจะพยายามทุกครั้งเวลา
ที่มันมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมจะบอกเขาว่า
ไม่เป็นไรลูกพ่อจะพยายามใหม่ คือผมมองว่า
คำนี้มันจะทำให้เรารู้สึกพยายามมากขึ้น”
“ตอนนี้กิจการทุกอย่างในบ้าน บิลค่าโน่นค่านี่
ความรับผิดชอบดูแลทุกอย่างผมต้องทำ
เปิดเทอมต้องจ่ายค่าเทอมอย่างไร มีประชุมผู้ปกครองวันไหน
เปิดเทอมเมื่อไร หนังสือครบมั้ย ดินสอมีหรือเปล่า
ผมต้องมานั่งเลาะกระโปรงเมื่อเปิดเทอมที่แล้ว
คือผมเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เพราะที่บ้านเป็นร้านตัดเสื้อผ้า ทำกระดุมเย็บกระดุม
เลาะกระโปรง เย็บชายเสื้อ ทำเป็นหมด ซึ่งที่จริงไปจ้างเขาทำก็ 20 บาท 50 บาท
แต่มันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ลูกสาวเห็นผมมานั่งเลาะกระโปรง
เย็บให้ ดูทีวีกันไป ผมมองว่าตรงนี้มันเป็นเรื่องนิดๆ หน่อยๆ
แต่มันเป็นอะไรที่มันอยู่ในใจเขาได้ วันหนึ่งเขาโตขึ้นมา
เขาก็จะนึกถึง อย่างลูกชาย 2 คน ผมตัดผมให้ตั้งแต่อยู่ ป.1 ป.2
ทุกวันนี้ก็ยังตัดให้เขาอยู่ บางทีถึงวันอาจารย์จะตรวจผม
เขายังบอกเพื่อนว่าโหย เดี๋ยวห้าทุ่มกูค่อยตัดก็ได้
ไม่ต้องกลัวร้านปิด เพราะพ่อกูตัดให้ นี่เป็นความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน
ผมเชื่อว่าที่ผมทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ได้
เพราะว่าผมได้รับความร่วมมือที่ดีจากลูกด้วย
เพราะผมทำและผมก็พยายามอยู่แล้ว ลูกเองก็เห็นแล้วลูกเองก็พยายามด้วย
“ผมได้ดูโฆษณาเมืองไทยประกันชีวิต ชุดที่เป็นเรื่องพ่อกับลูกสาว
ยังเคยพูดให้เพื่อนฟังเลยว่า อยากจะเป็นพ่อที่เมื่อลูกสาวเดินมาบอกว่า
“พ่อ ...หนูท้อง” แล้วเรายังนั่งคุยกับเขาได้ ไม่โกรธกัน
หรือลูกชายเดินมาบอกว่า “พ่อ...ผมเป็นเกย์” “พ่อ...ผมติดยา”
ผมเอาความรู้สึกที่ได้ดูหรือเห็นเรื่องเหล่านี้มานั่งคิดว่าถ้าเป็นเรา
ลูกพูดแบบนี้ เป็นแบบนี้ เราจะคิดอย่างไร และจะทำอะไรต่อ
อย่างน้อยถ้าลูกกล้าเดินมาพูดกับเราอย่างนี้
เราก็คงดีใจที่ลูกไม่ไปแก้ปัญหาเอง หรือลูกไม่ไปโทรปรึกษาเพื่อน”
“ผมไม่สามารถที่จะหล่อเขาออกมาให้เป็นเหมือนผมได้หมด
เพราะถ้าเป็นเหมือนผม เขาก็คงไปไม่ได้ไกลกว่าผม
ถ้าเราต้องการให้ลูกไปไกลกว่าเรา เราต้องเป็นตัวเขาเอง”
ครอบครัว “ศุภทรัพย์” วันนี้แม้ไม่มีผู้เป็นแม่
ว่าบรรยากาศในบ้านยังคงอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นระหว่างพ่อ – ลูก
.. ผมก็ได้เรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ตรงอย่างคุณทนงศักดิ์
มีหลายอย่างจากเรื่องนี้ที่ตรงกับผมมาก ๆ คือ เป็นพ่อที่ใจร้อน
พูดแล้วไม่ชอบพูดซ้ำ ชอบใช้เหตุผลมากเกินไปกับลูกชายวัย 6 ขวบ
หลังจากอ่านเรื่องนี้จบลงเป็นผมได้ปรับตัวเยอะมาก
สิ่งแรกคือใจเย็น อดทนกับลูกมากขึ้น
พยายามให้ความรักมากขึ้นกว่าเดิม
เหตุผลน้อยลงหน่อยกับเด็กวัยนี้ ถ้าท่านผู้อ่านท่านใด
มีประสบการณ์การเลี้ยงลูกที่เป็นประโยชน์กับผม
และผู้อ่านคนอื่น ๆ ก็อยากให้แลกเปลี่ยนกันนะครับ 


May 25, 2012

ในหลวง (ร.9) พระราชินี เสด็จฯไปยังทุ่งมะขามหย่อง

เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. วันนี้ (25 พฤษภาคม พ.ศ.2555 )
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.9) 
สมเด็จพระนางเจ้าพระบ
มราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว
เพื่อเสด็จฯ ไปยังทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา

http://hilight.kapook.com/view/71733

May 20, 2012

ไทฟ้า ชยวรประภา"เจ้าพ่อถนนข้าวสาร "


หนุ่มเมืองจันท์ 
http://teetwo.blogspot.com/2011/03/blog-post_6512.html

ย้อนมุมคิดนักสู้ชีวิต"ไทฟ้า ชยวรประภา"เจ้าพ่อถนนข้าวสาร

"ถ้ามีคนเหยียบ เราต้องจมลงดินเพื่อชีวิตรอด" 

 

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน 

นักเขียนผู้ใช้นามปากกาว่าหนุ่มเมืองจันท์ 

ณ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 

มติชนสุดสัปดาห์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์

ไทฟ้า ชยวรประภา 

และนำมาเขียนในหนังสือ ฝันใกล้ใกล้ ไปช้าช้า 

จึงทำให้เราได้ทราบหลายเรื่องราวในชีวิตของเขา 

ชีวิตที่หลายคนคิดว่าจะหวือหวา

เหมือนการขับรถของเขาหรือเปล่านั้น 

แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย

อุบัติเหตุบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ครั้งล่าสุด
กลายเป็น"ข่าวใหญ่"ส่วนหนึ่งเพราะเข็มวัดความเร็ว
บนรถปอร์เช่ที่หยุดนิ่งที่ตัวเลข 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนหนึ่งเพราะผู้เสียชีวิตล้วนแต่เป็นคนที่มีชื่อเสียง
คนหนึ่ง คือ ลูกชายอดีตรัฐมนตรี"ชาญชัย  ปทุมมารักษ์"
และอีกคนหนึ้่งเป็นนักธุรกิจใหญ่
"ไทฟ้า ชยกรประภา"
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นชื่อ"ไทฟ้า"เพราะเขาออกสื่อน้อยมาก
ทั้งที่เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่ง
โดยเฉพาะบนถนนข้าวสาร
"ไทฟ้า"ใหญ่มาก

ถ้าดูจากรถและความเร็ว คนส่วนใหญ่คงคิดว่า
ชีวิตของ"ไทฟ้า"จะหรูหรา ไฮโซและทำธุรกิจแบบหวือหวา
แต่จริงแล้วเส้นทางชีวิตของเขาแตกต่างจากความเร็ว 280 กม./ชม.มากนัก
ไม่ว่าจะเป็นการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก การทำธุรกิจ หรือวิธีคิด

ไทฟ้า ชยวรประภา เกิดเมื่อวันที่่ 17 มกราคม พ.ศ. 2501

"ไทฟ้า"จบการศึกษาแค่ชั้นม.ศ.5 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์
แต่ด้วยฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน
"ไทฟ้า"บอกว่าเขาต้องศึกษาต่อที่ Royal Field University
หรือ"มหาวิทยาลัยสนามหลวง"

ขายของตั้งแต่กระดาษหอม  ถุงโชคดี แหวน และกระเป๋านักเรียน
ดิ้นรนแบบ"นักสู้ข้างถนน"จนกระทั่งเริ่มมาทำธุรกิจ
ที่ถนนข้าวสารตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จัก

ปัจจุบัน "ไทฟ้า"เป็นประธานกรรมการบริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด
มีโรงแรมในเครือ 6 แห่ง ทั้งที่ถนนข้าวสาร  นนทบุรีและเกาะสมุย
นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารกินลมชมสะพาน และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย

"ไทฟ้า"เป็นคนปิดตัว  ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเท่าไรนัก
ทั้งที่เป็นคนที่มุมคิดที่คมคาย
ครั้งหนึ่ง เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันอาทิตย์เมื่อหลายปีก่อน
เป็นครั้งเดียวที่ทำให้คนรู้จัก"ไทฟ้า"มากขึ้นในหลายแง่มุม

เรื่องหนึ่ง คือ ทำไมถนนข้าวสารจึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
"ไทฟ้า"บอกว่า"นักท่องเที่ยวเหมือนนกนางแอ่น
บังคับไม่ได้  มันจะเลือกที่ทำรังของมันเอง"

แต่เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะ"ทำเล"ของถนนข้าวสารที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ที่มีชื่อเสียง อย่างวัดพระแก้ว วัดโพธิ และวัดต่างๆในละแวกนี้
เช่นวัดชนะสงคราม  ใกล้สนามหลวงและท่าพระจันทร์ที่ต่อเรือไปเที่ยวได้

นักท่องเที่ยวถนนข้าวสารรัก"ความอิสระ"
"เขาชอบอิสระ ไม่ใช่เที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ที่เป่านกหวีดปรี๊ดไปตลาดน้ำ
แบบนั้นเขาไม่ชอบ"
เขาชอบเดิน ต่อรถเมล์ นั่งเรือ  ชอบชีวิตเรียบง่าย

ที่สำคัญ ทุกคนเปิดกว้างรับเพื่อนใหม่
"มันเป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่ง  ต่างคนต่างภาษาแต่เป็นเพื่อนกัน
ชาวอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่เคยคุยกันก็มาคุยกันที่นี่
พูดกันไม่รู้เรื่องแต่เป็นเพื่อนกันได้"

นักท่องเที่ยวถนนข้าวสารไม่ใช่"ไม่มีเงิน"
"ขากลับทุกคนตัดสูทคนละ 5-6 ชุด"

"ไทฟ้า"บอกว่าปัญหาธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย
เรื่องหนึ่งคือคิดแต่จำนวนนักท่องเที่ยว
แต่ลืมเรื่องความพยายามให้นักท่องเที่ยวใช้เงินให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยว หรือการซื้อสินค้า

เพราะพฤติกรรมของ"นักท่องเที่ยว"นั้นทุกคนมีวงเงินที่พร้อมจ่าย
เขาวางแผนแล้วว่ามาครั้งนี้จะมีวงเงินใช้จ่ายเท่าไร

"ทำอย่างไรให้เขาใช้เท่ากับที่เขาตั้งใจ  ไม่ต้องหมดกระเป๋า แต่ใกล้ๆหมดก็พอ"
เป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก
...............

อีกเรื่องหนึ่งคือวิธีคิดในเรื่องการใช้ชีวิต
ในฐานะคนที่ผ่านประสบการณ์"มหาวิทยาลัยสนามหลวง"ที่ต้องดิ้นรนและต่อสู้
วิธีคิดของ"ไทฟ้า"จะมีแง่มุมที่แตกต่างจากคนที่ประสบการณ์ชีวิตที่ราบรื่น

เมื่อถามว่าใครเป็นต้นแบบของเขา
"ไม่มี"ไทฟ้าบอกแบบมั่นใจ"ความอยู่รอด คือ ต้นแบบของผม"
"ถ้ามีตระกูล  ผมก็เหมือนต้นไม้ที่มีรากแก้ว
แต่ผมไม่ได้เกิดในตระกูลดัง  เป็นแค่เมล็ด มีเปลือกบางๆ"
สิ่งที่เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ ก็คือ ถ้าดินเป็นกรด เขาจะเติบโตอย่างไร
"ถ้ามีคนเหยียบ  เราต้องจมลงดินเพื่อมีชีวิตรอด
คนที่ไม่เติบโตเพราะเมื่อโดนเหยียบ ไม่ยอมจม"


ถามว่าการบริหารธุรกิจเล็กๆกับธุรกิจใหญ่ๆ แตกต่างกันอย่างไร
คำตอบของเขาชัดเจนด้วนประสบการณ์
"หลักการบริหารเงิน 1 บาท 100 บาทหรือ 1 ล้านบาทเหมือนกัน คือ การใช้เงิน"
อีกประโยคหนึ่งก็น่าสนใจ
"มีคนบอกว่าเริ่มต้นยาก สำเร็จยาก แต่รักษาความสำเร็จยากกว่า
ผมว่าไม่จริง  การรักษาความสำเร็จไม่ยาก
เพียงแค่ว่าเราอย่าคิดว่าต้องเป็น..ที่สุด แค่นั้นก็รักษาได้แล้ว "

หรือ ทฤษฎี 3 เหลี่ยม ของการใช้ชีวิต
"ไทฟ้า"บอกว่าคนเราเมื่อรู้สึกว่ายืนอยู่บนยอดสุดของสามเหลี่ยมเมื่อไร จะ..ตัน
เพราะพื้นที่บนยอดสามเหลี่ยมน้อยเกินกว่าจะยืนหยัดอยู่ได้

จุดที่ดีที่สุดของการยืน คือ ตรงประมาณ 75% ของสามเหลี่ยม
สูงพอประมาณ และมีพื้นที่กว้างพอที่จะยืนแบบไม่โดดเดี่ยว

ทุกครั้งที่ต้องการยืนให้สูงขึ้นในระดับสูงสุดของสามเหลี่ยม
เราต้องสร้าง"สามเหลี่ยมใหม่"ที่ฐานกว้างขึ้น
เพราะฐานเมื่อกว้างขึ้น  ปลายสุดของยอดสามเหลี่ยมใหม่ก็จะสูงกว่าเดิม

จุดสูงสุดของ"สามเหลี่ยมเก่า"ที่เราต้องการก็ตรงกับ 75 % ของ"สามเหลี่ยมใหม่"
เราก็จะได้ยืนสูงขึ้น โดยที่ยังมีพื้นที่ให้กับคนอื่น
นี่คือ หลักคิดของ"ไทฟ้า  ชยวรประภา"

ข้อมูลธุรกิจของ"ไทฟ้า"

จากการตรวจสอบข้อมูล ไทฟ้า เป็นนักธุรกิจโรงแรมพันธุ์ไทยรายใหญ่
ฐานธุรกิจของเขาเริ่มต้นที่ถนนข้าวสาร บริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด
เดิมชื่อ บริษัท ไทฟ้าและเพื่อน จำกัด ก่อตั้งในปี 2539
วันนี้ นาย ไทฟ้า ชยวรประภา และเพื่อน คือ
นายประสิทธิ์ สิงห์ดำรงค์ นายมาโนช วงษ์มาก
ขยายเครือข่ายธุรกิจมีกิจการในรูปบริษัท 25 บริษัท
ครบวงจรธุรกิจโรงแรมบูติค ท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมแม้แต่ธุรกิจสิ่งพิมพ์

1 บริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด
2 บริษัท ไซด์วอล์ค คาเฟ่ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด
3 บริษัท บัดดี้ ลอดจ์ จำกัด
4 บริษัท ฟ้าละไม จำกัด
5 บริษัท ฟ้าอรุณ จำกัด
6 บริษัท ภูมิฟ้า จำกัด
7 บริษัท มิส มอลลี่ จำกัด
8 บริษัท วังวารี สิริเจ้าพระยา จำกัด
9 บริษัท ข้าวสารเนอร์ จำกัด
10 บริษัท คุ้มสามพระยา จำกัด
11 บริษัท ชยวรประภา จำกัด
12 บริษัท ซามูดี จำกัด
13 บริษัท ไซด์วอร์ค ราชดำเนิน จำกัด
14 บริษัท ต้มยำกุ้ง จำกัด
15 บริษัท บัดดี้ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด
16 บริษัท บัดดี้ บูติก อินน์ จำกัด
17 บริษัท บัดดี้ บูติค โฮเต็ล กรุงเทพ จำกัด
18 บริษัท บัดดี้ มารีน จำกัด
19 บริษัท บางกอก รอยัล อาร์ต จำกัด
20 บริษัท บ้านหินทราย เฉวงน้อย บูติค รีสอร์ท จำกัด
21 บริษัท บำรุงเมือง จำกัด
22 บริษัท พังการีสอร์ต จำกัด
23 บริษัท หินตา หินยาย บีช รีสอร์ท จำกัด
24. บริษัท บัดดี้ โฮลดิ้ง จำกัด
25.บริษัท มิลเลี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ศูนย์บัญชาการทางธุรกิจของ ไทฟ้าคือ
สำนักงานเลขที่ 265 ถนนข้าวสาร แขวงตลาดยอด
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 ตั้งแต่ปี 2539

ต้นปีที่ผ่านมา ผู้บริหาร บัดดี้กรุ๊ป เปิดสถานะทางธุรกิจของกลุ่มว่า
ปัจจุบัน บัดดี้ กรุ๊ป เป็นโรงแรมระดับ 3-4 ดาว
ลงทุนโดยคนไทยและเป็นโรงแรมแบรนด์ของคนไทย
ซึ่งมองว่าโรงแรม 3-4 ดาวเป็นตลาดใหญ่
จุดต่างที่สำคัญของโรงแรม คือ ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป
แต่ละแห่งไม่เกิน 70-80 ห้อง สามารถดูแลลูกค้าได้ทั่วถึง
ประกอบกับการใช้กลยุทธ์แบบคนไทย เช่น
นำเสนอห้องพักในราคารวมอาหารเช้า หรือ ที่ บัดดี้ ลอดจ์ จะฟรีมินิบาร์

นอกจากนั้น ทุกโรงแรมของ บัดดี้ กรุ๊ป ยังมีบริการฟรี wifi
ตอบสนองไลฟ์สไตล์การเดินทาง เพราะลูกค้าที่เข้าพักโรงแรมรูปแบบนี้ส่วนใหญ่
เป็นคนรุ่นใหม่ กว่า 90% ใช้ช่องทางการจองผ่านอินเทอร์เน็ต
ขนาดห้องพักเฉลี่ย ของบัดดี้ กรุ๊ป จะอยู่ที่ 25 ตร.ม.

ปัจจุบันบัดดี้ กรุ๊ป เป็นเจ้าของโรงแรม 6 แห่ง
ครอบคลุมตั้งแต่ 3-5 ดาว ได้แก่ โรงแรมบัดดี้ ลอดจ์ (กรุงทพฯ)
โรงแรมโฮเต็ล เดม๊อค (กรุงเทพฯ) โรงแรมบัดดี้ บูติค อินน์ (กรุงเทพฯ)
โรงแรมบัดดี้ โอเรียลทอล ริเวอร์ไซด์ ปากเกร็ด (นนทบุรี)
โรงแรม บัดดี้ โอเรียลทอล สมุย บีช รีสอร์ท และมาร์โคโปโล โฮสเทล (กรุงเทพฯ)

ในระยะสั้นยังไม่มีแผนลงทุนเพิ่ม แต่ก็เตรียมมองหา
โลเกชั่นเพื่อขยายการลงทุน มองที่พัทยา และ ภูเก็ต เป็นหลัก
เพราะ 2 พื้นที่ดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของต่างชาติ
ที่เดินทางมาประเทศไทย โดยเน้นที่ตั้งที่เป็นโลเกชั่น
สะดวก มีระบบสาธารณูปโภค พร้อมสรรพ















http://teetwo.blogspot.com/2010/11/blog-post_17.html    
พล.ต.ท.จรัมพร เปิดเฟซบุ๊ก เผยภาพชุด 13 ภาพ
คดีปอร์เช่ชนฟอร์จูนเนอร์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน
จากเหตุการณ์อุบัติเหตุชนสยองระหว่าง
รถปอร์เช่ชนท้ายรถฟอร์จูนเนอร์
เข้าอย่างจังบนโทลเวย์ขาออก ช่วงบริษัท เดลินิวส์
แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
จนเป็นเหตุให้ นายไทฟ้า ชยวรประภา อายุ 54 ปี
เจ้าของโรงแรมบัดดี้ วิลเลจ คนขับรถปอร์เช่
และ พ.ต.ศักดิภัทร ปทุมารักษ์ ผู้ขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์
เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
เมื่อวันที่ 27 เมษายน เวลา 00.30 น.
ล่าสุดวานนี้ (17 พฤษภาคม)
ในเฟซบุ๊กของ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.)
https://th-th.facebook.com/PoliceNews1
ได้นำภาพคดีดังกล่าวมาเรียบเรียงรวมทั้งสิ้น 13 ชิ้น
ซึ่งเป็นการรวมรวบหลักฐาน และเหตุการณ์ทั้งหมด
โดยเฉพาะภาพในกล้องวงจรปิดถึง 16 ตัว
ที่ระบุเวลาในการขับรถแต่ละคันในที่จุดเกิดเหตุ
และคำนวณความเร็วของรถแต่ละคัน นอกจากนี้
ยังได้ลำดับเหตุการณ์ ระบุว่า สามารถจับความเร็วคงที่ได้
ตั้งแต่กล้องตัวที่ 3
รถที่เกิดเหตุทั้ง 3 คันขับมาในเลนเดียวกัน คือ เลนกลาง
เริ่มต้นโดยรถฟอร์จูนเนอร์ขับมาด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมงจากนั้น รถปอร์เช่ขับตามมาด้วยความเร็วสูงถึง 280
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และชนท้ายฟอร์จูนเนอร์ด้วยลักษณะเสย
ทำให้รถปอร์เช่เบี่ยงไปทางซ้าย
ส่วนรถฟอร์จูนเนอร์นั้น แรงกระแทกทำให้รถขวางเลนเอาไว้
ต่อมารถมาสด้าที่ขับมาด้วยความเร็วร้อยกว่า ๆ ขับตามมา
และไม่เห็นไฟท้าย
จึงชนรถฟอร์จูนเนอร์เข้าอย่างจัง
และรถฟอร์จูนเนอร์ก็กระเด็นไปอีกทิศทางหนึ่ง
เป็นเหตุให้คนขับรถปอร์เช่ และฟอร์จูนเนอร์
เสียชีวิตทันที อย่างไรก็ตาม
พล.ต.ท.จรัมพร ยังได้เผยภาพซากรถรถปอร์เช่และ
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์พร้อมกับอ้างอิงข้อกฎหมายว่า
ห้ามขับรถยนต์ขณะเมาสุราเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่
ประชาชนทุกคน เนื่องจากผู้เสียชีวิตทั้งสองคนนั้น
พบแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่าที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผช.ผบ.ตร.)
แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คกรณีเกิดอุบัติเหตุ
รถปอร์เช่ รุ่น 911 จีที2ชนรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์
และรถมาสด้า 2 บนโทลล์เวย์ขาออก
ช่วงหน้าอาคารที่ทำการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
เป็นเหตุให้นายไทฟ้า ชยวรประภา อายุ 54 ปี
เจ้าของโรงแรมบัดดี้ วิลเลจ
คนขับรถปอร์เช่ เสียชีวิต พร้อม พ.ต.ศักดิภัทร ปทุมารักษ์
บุตรชายนายชาญชัย ปทุมารักษ์
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผู้ขับรถโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน เวลา 00.30 น.
ทั้งนี้พล.ต.ท.จรัมพร
เสนอแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
บนโทลล์เวย์ซ้ำซากใน3แนวทาง ด้วยกัน
1) การป้องกันอันตรายจากรถ / วัสดุ ตกจากถนนยกระดับ :
เนื่องจากกำแพงขอบทางของโทลล์เวย์สูงประมาณ 1 เมตร
ออกแบบไว้รองรับความเร็วการจราจรในเมืองหรือ
City Limit (80 กม./ชม.)
...แต่ปัจจุบันผู้ใช้โทลล์เวย์มักใช้ความเร็วสูงเกินกว่าที่กำหนด
จึงควรยกระดับรั้วขอบทาง (Guard Rail) ให้สูงขึ้น
เพื่อกันรถตกลงไปด้านล่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุ 
2) จัดให้มีระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ :
เรื่องนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สั่งการหน่วยเกี่ยวข้องให้ดำเนินการเพื่อ
ป้องปรามผู้ขับรถเร็วแนวเดียวกับ
ระบบการใช้กล้องจับความเร็ว
(Red Light Camera)
จะมีการส่งหมายเรียกไปยังบ้านผู้ฝ่าฝืน ให้มาเสียค่าปรับ 
3) จัดให้มีสายด่วนบริการขับรถส่งบ้าน (Car Service)
หรือโครงการ “คุณเมาเราขับ”
เป็นแนวทางการจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัคร
หรือเจ้าหน้าที่องค์กรสาธารณประโยชน์
ที่ผ่านการฝึกอบรมเพื่อให้บริการขับรถ
นำบุคคลที่มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด
(50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ -mg%) ส่งที่หมาย
โดยคิดค่าบริการอย่างเหมาะสม
เป็นธรรม ผ่านสายด่วน หมายเลขโทรศัพท์ที่จำได้ง่าย
"ไม่ได้ส่งเสริมคนเมา..
แต่เป็นการมุ่งรักษาชีวิตและทรัพย์สิน
ของเหยื่อความเมา"พล.ต.ท.จรัมพรระบุในเฟซบุ๊ค 
พล.ต.ท.จรัมพรระบุถึงแนวทางการสอบสวนคดีซิ่งชน
บนโทลล์เวย์ว่า
การแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์เหตุการณ์
ต้องนำหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์
และผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขามาบูรณาการเพื่อให้
ได้คำตอบและเกิดความเป็นธรรมทุกคดีต้องดำเนินการด้วย
ความรวดเร็วมีจรรยาบรรณ ของวิชาชีพ
และปราศจากอคติใดๆ จึงจะเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือศรัทธา 
"ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์
กรณีรถชนบนโทลล์เวย์
เป็นเพียงส่วนหนึ่งในองค์ประกอบ
ของสำนวนการสอบสวนทั้งนี้การนำเสนอข้อเท็จจริง
ดังปรากฎก็เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชน
โดยมิก้าวล่วงต่อดุลยพินิจของ
พนักงานสอบสวน อุทธาหรณ์ของเหตุการณ์นี้ผู้เกี่ยวข้อง
ต้องแสวงหาแนวทางป้องกันและ แก้ไข"
พล.ต.ท.จรัมพรโพสต์ในเฟซบุ๊ค 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.จรัมพรโพสต์
ความเห็นทั้งหมดนี้ลงในเฟซบุ๊ค
พร้อมกับนำภาพเหตุการณ์การ สอบสวน
และวิเคราะห์หาสาเหตุของเหตุการณ์ซิ่งชนสยองบนโทลล์เวย์
ดังที่"มติชน ออนไลน์"นำเสนอ
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 55 ที่ผ่านมา

พื้นที่ชีวิต ความลับของความสุข

"คน เราเป็นทุกข์ เพราะไม่เห็นความคิด
พอมันคิดขึ้นมาก็เข้าไปในความคิดเลย
คิดรักโลภโกรธหลงก็เป็นทุกข์
แต่ถ้ามีสติเห็นความคิดปั๊บ
ความคิดก็คือความคิด สติเห็นก็คือสติเห็น คนละอันกัน "


อ.กำพล ทองบุญนุ่ม


พื้นที่ชีวิตตอน ความลับของความสุข พฤหัส 15 กันยายน
สี่ทุ่มครึ่ง ไทยพีบีเอส



May 15, 2012

"Soul of a Nation" (BBC) สารคดีเทิดพระเกียรติ

                                      


วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 
มติชนออนไลน์ 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้นามว่า "yoware" ซึ่งจัดทำเว็บไซต์
storify.com ได้นำคลิปสารคดีเทิดพระเกียรติ "Soul of a Nation" ที่จัด
ทำโดยสำนักข่าวบีบีซีเมื่อหลายสิบปีก่อน
มาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
โดยระบุว่า

"ผมได้รับ DVD ชุดนี้มาจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
(ทปอ.) ซึ่งได้รับต่อมาจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
อีกทอดหนึ่ง
"พล.อ.สุรยุทธ์ เล่าว่าได้รับมาจากผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อได้ดูแล้วเห็นว่าควรจะนำมาเผยแพร่ให้คนรุ่นนี้ได้ดูกัน จึงนำมามอบให้ ทปอ.จัดแปลใส่คำบรรยาย (ซับไตเติ้ล) ภาษาไทย
เมื่อวันที่
28 เมษายน 2555

"พล.อ.สุรยุทธ์ พูดถึงสารคดีชุดนี้ว่ามีหลายเรื่องราวที่เราไม่เคยเห็น
ไม่เคยได้ยิน พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานสัมภาษณ์อย่าง "ลงลึก"
ในหลายประเด็นของบ้านเมืองในขณะนั้น
ซึ่งประสบทั้งปัญหาภายในและภายนอก
อีกทั้งพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์
ยังตรัสเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ลองฟังจากเสียงสัมภาษณ์นี้ครับ

"สารคดีชุด Soul of a Nation ตอน "The Royal Family of Thailand" แบ่งออกอากาศเป็น 2 ตอน ตอนละกว่า 1 ชั่วโมง

"ตอน แรก เริ่มต้นด้วยพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2522
นำสู่การเล่าพระราชประวัติและพระประวัติของพระบรมวงศ์ พระราชจริยาวัตร พระราชอิริยาบท การสวรรคตของพระเชษฐา รวมทั้งเรื่อง
"ความรัก" จากพระโอษฐ์สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ

"ตอนสอง เน้นพระราชกรณียกิจประจำวัน การเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎร การพัฒนาถิ่นทุรกันดารผ่านโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ
รวมทั้งพระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับ "คอมมิวนิสต์" ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในช่วงเวลานั้น และกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในกรุงเทพฯ

"ล่าสุด ทปอ.เตรียมจะดำเนินการแปลบรรยายไทยสารคดีชุดนี้ ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานประชาชนคงจะได้รับชมในแบบที่มีคำบรรยายไทย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน

"หมายเหตุ : ภาพในบทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากสารคดี มีลักษณะการซ้อนตัวอักษรแบบต่างชาติในยุคนั้น ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมนักในการซ้อนกราฟิกทับภาพบริเวณพระพักตร์ 
"ทรงพระเจริญ"

May 12, 2012

เพลงไม่ทุ่มไม่เทไม่ถึง ~วงนั่งเล่น

แล้วฝันมันก็ผ่านไป ทำใจก็ยังไม่ถึงวัน
สายน้ำก็เหมือนความฝันมันไม่มีวันย้อนมา
... เหมือนคำอำลาอาลัย
ทั้งที่รักแต่คงไม่มากพอ ไม่ท้อแต่ไมได้ทุ่มเท
แล้วฝันมันก็หักเห อยู่ในทะเลคลื่นลม
... แล้วจมลงกลางทะเล 
อยากจะทำแต่ไม่ทุ่มเท ลังเล เลื่อนลอย เหลวไหล 
ไม่มีทางจะถึงที่หมาย ต่อให้เห็นเส้นชัยก็คงไปไม่ถึง
...ถ้าเราไม่ทุ่มเท
ทำใจมันก็ง่ายดี ทำดีมันไม่ง่ายดาย
รู้งี้จะทุ่มให้หมดใจ ก็ได้แต่มานั่งบ่น
... ให้ใครบางคนรำคาญ
คนขี้บ่น เสียงใครบางคนรำคาญ
 

May 8, 2012

Reading Room ครั้งที่ 1

อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา 











   
 อาจารย์ประพล คำจิ่ม

Reading Room ครั้งที่ 1 เสวนา Reading Room ครั้งที่ 1
โดย อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา และอาจารย์ประพล คำจิ่ม
วันเสาร์ที่ 6 ก.พ. 2553 เวลา 16:00 น. 



ปฏิวัติบริโภค : จากสิ่งของฟุ่มเฟือยมาสู่สิ่งจำเป็น


ปฏิวัติบริโภค :จากสิ่งฟุ่มเฟือยมาสู่สิ่งจำเป็น
ผู้แต่ง/ผู้แปล : ธเนศ วงศ์ยานนาวา
Barcode : 9789747266580
ISBN : 9789747266580
ปีพิมพ์ : 1 / 2550
ขนาด (w x h) : 145 x 210 mm.
ปก / จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 273 หน้า
หมวดหนังสือ : การตลาด
ราคาปกติ : 180.00 บาท


ตรรกะสังวาส


"ตรรกะสังวาส" กิจกรรมสนทนาสังสรรค์
โดยถ่ายเถา สุจริตกุล และ ธเนศ วงศ์ยานนาวา
ในวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2554
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศกาตรรกะสังสรรค์ Dialogic 
จัดแสดงวันที่ 21 กรกฎาคม ถึง 25 กันยายน 2554
ห้องนิทรรศการชั้น 8
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่ 
http://www.facebook.com/events/124957014265444/

May 7, 2012

จากการอ่านหนังสือกระดาษสู่คอมพิวเตอร์

วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 
มติชนออนไลน์


http://teetwo.blogspot.com/2009/04/guru-postmodern.html

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นายธเนศ วงศ์ยานนาวา 

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้บรรยายหัวข้อ
"จากการอ่านหนังสือกระดาษสู่คอมพิวเตอร์"

สำหรับ Bangkok Writing Workshop
ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตาราง
การอบรมค่ายงานเขียนสร้างสรรค์กรุงเทพมหานคร
จัดโดยหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

และ Bookmoby
นายธเนศ กล่าวตอนหนึ่งว่า

รูปแบบการอ่านกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
เช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี
ซึ่งมนุษย์อยู่กับเทคโนโลยีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว

เช่น ล้อรถยนต์ ก็คือ เทคโนโลยี
ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมไปแล้วว่า

มันเป็นเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน
กระดาษ ก็เป็นเทคโนโลยี

ซึ่งเรากำลังเปลี่ยนจากเทคโนโลยีกระดาษ
มาเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์
อาจารย์ผู้นี้กล่าวด้วยว่าในโลกดิจิตอล

ความสุขที่ได้เชื่อมโยงกับคนอื่นๆ
ที่กลายเป็นเพื่อนกันในโลกของ
 "ความจริงลวงที่เสมือนจริง" (virtual reality)
แบบใน "เฟซบุ๊ก" ก็ทำให้การสร้างสายสัมพันธ์ฉันเพื่อน

ทำเงินให้กับใครบางคน
จนเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก

ความบันเทิงจากการอ่านข้อความและ
การนำเสนอของอีกหลายๆ คน
จึงทำให้คนอีกหลายๆ คน มีความสุข

จากเงินที่ได้มาจากความบันเทิงของคนอีกหลายต่อหลายคน
แต่การสร้างสายสัมพันธ์ผ่านโลกดิจิตอล ก็ใช่จะมีแต่การสร้างมิตรภาพเท่านั้น
การทำลายมิตรและสร้างศัตรู

ก็พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เช่นเดียวกัน
การเป็นมิตรและศัตรู แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัด

และมีความเป็นสาธารณะ ดังราวกับว่า
สายสัมพันธ์ฉันเพื่อนและศัตรู

จะต้องกระทำแบบรัฐ ที่ต้องประกาศและลงนามความสัมพันธ์
หรือไม่ก็ประกาศสงครามต่อกัน

เส้นทางของสายสัมพันธ์ในโลกการสื่อสารดิจิตอล
จึงดำเนินไปสู่เส้นทางแบบ  "กึ่งกฎหมายหรือกึ่งเป็นทางการ"
 นายธเนศ กล่าวตอนหนึ่งว่า

รูปแบบการอ่านกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับ
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี

ซึ่งมนุษย์อยู่กับเทคโนโลยีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว เช่น
ล้อรถยนต์ ก็คือ เทคโนโลยี

ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นเทคโนโลยี
ขณะเดียวกัน กระดาษ ก็เป็นเทคโนโลยี

ซึ่งเรากำลังเปลี่ยนจากเทคโนโลยีกระดาษมาเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์

อาจารย์ผู้นี้กล่าวด้วยว่าในโลกดิจิตอล ความสุขที่ได้เชื่อมโยงกับคนอื่นๆ
ที่กลายเป็นเพื่อนกันในโลกของ "ความจริงลวงที่เสมือนจริง" (virtual reality)
แบบใน "เฟซบุ๊ก" ก็ทำให้การสร้างสายสัมพันธ์ฉันเพื่อน ทำเงินให้กับใครบางคน
จนเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก ความบันเทิงจากการอ่านข้อความและการนำเสนอของอีกหลายๆ คน
จึงทำให้คนอีกหลายๆ คน มีความสุข จากเงินที่ได้มาจากความบันเทิงของคนอีกหลายต่อหลายคน
แต่การสร้างสายสัมพันธ์ผ่านโลกดิจิตอล ก็ใช่จะมีแต่การสร้างมิตรภาพเท่านั้น
การทำลายมิตรและสร้างศัตรู ก็พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เช่นเดียวกัน
การเป็นมิตรและศัตรู แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดและมีความเป็นสาธารณะ
ดังราวกับว่า สายสัมพันธ์ฉันเพื่อนและศัตรู จะต้องกระทำแบบรัฐ
ที่ต้องประกาศและลงนามความสัมพันธ์ หรือไม่ก็ประกาศสงครามต่อกัน
เส้นทางของสายสัมพันธ์ในโลกการสื่อสารดิจิตอล
จึงดำเนินไปสู่เส้นทางแบบ  "กึ่งกฎหมายหรือกึ่งเป็นทางการ"
 
สายสัมพันธ์ผ่านโลกดิจิตอล ไม่ได้มีแต่มิตรภาพเท่านั้น
เพราะการทำลายมิตรและสร้างศัตรูก็เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เช่น
คุณ อันเฟรนด์ (ลบเพื่อน) ในเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเมือง
ก็ทะเลาะกันทางเฟซบุ๊ก
 
นายธเนศ กล่าวด้วยว่า ในโลกของไฮเปอร์เทกซ์

(การคลิ๊ก link ไปยังข้อความต่างๆ)
ไม่สามารถที่จะทำให้ "ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย"
ได้อีกต่อไป มันไม่สามารถที่จะทำให้เรามีโฟกัสร่วมกันอีกได้
ทุกอย่างคุณกำหนดไม่ได้ว่าคนอ่านจะอ่านอะไร เพราะถึงแม้กูเกิ้ลจะขึ้นให้ 10 ลิงค์
ที่แต่มันก็สามารถจะพาคุณไปไหนต่อไหน

"เพราะฉะนั้น ถ้าพูดแบบง่ายๆ นัยยะทางการเมือง ในฐานะที่ผมสอนรัฐศาสตร์
คุณเลิกคิดได้แล้วว่าทุกคนจะคิดในแบบเดิม โดยไม่ต้องพูดถึง content
หรือ เนื้อหา คุณจะบอกว่ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อะไรต่างๆ แบบที่
คุณประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.) พูด ก็อ่านใน text นี้
 แต่มันอาจจะพาคุณไปไหนก็ไม่รู้ คุณอาจจะไปลงท้ายกับสังคมนิยม
คอมมิวนิสต์หรืออะไรก็ไม่รู้ ไม่การันตี คุณคุมมันไม่ได้ มันไม่เหมือน
เขียนหนังสือที่ฟอร์มของหนังสือมันตายตัว" นายธเนศกล่าว

สำหรับกรณีการปิดเวบไซต์ไซต์โดยกระทรวงไอซีที

นายธเนศ กล่าวว่า
ฟอร์มหรือรูปแบบของไฮเปอร์เทกซ์

ไม่ได้ทำให้คนโฟกัสอะไรร่วมกันเหมือน
อย่างฟอร์มหรือรูปแบบของหนังสือ

ฉะนั้น กระทรวงไอซีที จะทำให้คนคิดเหมือนกัน
หรือโฟกัสจุดเดียวกันไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไทย

คิดแต่เรื่องเนื้อหา (content)
ว่าใครพูดอะไรหรือไม่พูดอะไร

และต้องการให้ทุกคนคิดเหมือนกัน
แต่ส่วนตนเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องเนื้อหา (content)
อีกแล้ว แต่คือรูปแบบหรือฟอร์มของไฮเปอร์เทกซ์
และโลกอินเตอร์เนตที่ทำให้คนไม่ได้โฟกัสในที่เดียวกันอีกต่อไป