Custom Search

Jan 30, 2008

เรวัต พุทธินันทน์ คนดนตรีที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ "แกรมมี่"



"แกรมมี่" เป็นบริษัทที่เริ่มทำธุรกิจบันเทิงในแขนงนี้แห่งแรก
เป็นตัวเปิดตลาดการทำธุรกิจในแนวนี้ให้แพร่ขยายไปมากขึ้น
และนับได้ว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุด
ภายใต้การบริหารของบุคคลที่ร่วมสร้างแกรมมี่ให้ผงาดขึ้นมา
และบุคคลสำคัญหนึ่งในนั้นก็คือ

เรวัต พุทธินันทน์ หรือ พี่เต๋อ
ที่เราเรียกกันติดปากนั่นเอง


"การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่าอยากคิดทำอะไร
ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม บางครั้ง
มันก็จะต้องมีสิ่งที่มาบั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ
เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์ และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า
ในสังคมเรายังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมากในทุกจุด
แม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน"


"ผมเรียนมาทางด้านการเงินการธนาคารแต่ชีวิตผม
ตั้งแต่ช่วงเรียนหนังสือมาแล้วจะเกี่ยวพันกับดนตรีมาตลอด
ผมชอบดนตรีอยู่แล้วการที่ผมมาทำงานเกี่ยวกับเรื่องดนตรี
ก็เพราะความรักส่วนหนึ่ง แต่ว่าในเรื่องของชีวิต
ตั้งแต่ก่อนที่ผมเรียนหนังสือจนกระทั่งเรื่องการศึกษา
ที่ผมเรียนอยู่ มันทำให้คิดไปว่าดนตรีจริงๆ
มันเป็นวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ผูกพันกับชีวิตคน
ซึ่งจนถึงขณะนี้ ผมก็มองเรื่องของการดนตรีว่า
มันไม่ไปถึงไหน อยู่แถวๆ นั้น


ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ดนตรีมันไปกว้างไกลเหลือเกิน
ดนตรีกับคนไทยมันจะอยู่ห่างกันมากเลย
สำหรับดนตรีต้องเป็นคนที่รักจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้
ไม่งั้นมันก็ผ่านไปผ่านมา แต่ในบางประเทศ
ความใกล้ชิดระหว่างดนตรีจะมีเยอะมาก

การพัฒนาในหลายๆ องค์กร
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือว่าวัฒนธรรม
ในการกินการอยู่ การใช้ชีวิตประจำวัน
ประเทศเราก็กำลังตามคนอื่นที่เขาเรียกว่า
เป็นอารยประเทศไปอยู่แล้ว ตรงนั้น
ผมก็มาคิดว่า ในเมื่อดนตรีเขาไปถึงตรงนั้นแล้ว
ทำไมเรายังไม่ไปไหนอีกเลย
คิดว่ามันควรจะต้องมี
คนที่มาทุ่มเทตรงนี้กับมันมั่ง ถึงจะเกิดอะไรขึ้น"


และจากความคิดที่เริ่มก่อตัวขึ้น
โดยมีความหวังจะให้มีการพัฒนาทางด้านดนตรี
ขึ้นในบ้านเรานี่เอง เป็นแรงผลักดันให้
คุณเรวัต เริ่มสนใจที่จะทำธุรกิจทางด้านดนตรี


"คำว่าธุรกิจทางด้านดนตรี ในสมัยนั้นมันไม่ได้เป็นธุรกิจทั้งหมด
คือของเราอาจจะเรียกกันว่ามันเป็นแบบ งูๆ ปลาๆ
เพราะเราคิดกันว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของการบันเทิง
มันเป็นสิ่งที่ไม่ซีเรียส จึงไม่มีใครสนใจ
กับมันอย่างจริงจัง ให้มันผ่านไปแล้วก็ผ่านมา


เหมือนกับคำพูดที่เราเรียกกันว่า เต้นกินรำกิน
อะไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
แต่คนที่รักดนตรีจริงๆ เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
ผมคนนึงก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นผมกลับมองว่า
จริงๆ ดนตรีมันมี momentum ใหญ่มากเลย
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมันจะต้องเป็นไปได้ในอนาคต
แต่ว่าใครล่ะจะเป็นคนทำ
ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าจะลงมือทำอะไรได้มาก
ผมคิดว่าคงจะมีคนที่ความสามารถหรือผู้ผลักผู้ใหญ่
ที่เขาจะมีความชอบทางนี้ ซึ่งถ้าเรารู้อะไร
เราก็พอจะช่วยเหลือได้บ้างผมคิดว่าผมจะเดินบนเส้นนี้
ผมถึงตัดสินใจเลือกอาชีพดนตรี
หลังจากเรียนจบผมเริ่มเป็นคนดนตรีอาชีพตั้งแต่ตอนนั้น
ใช้เวลาเวียนว่ายตายเกิดในการระหกระเหิน
สนุกสนาน เจ็บปวด ยิ้มกับชีวิต ตรงนี้ on the road เป็นสิบๆ ปี
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่า ผมเลิก on the road แล้ว


จะต้องออกมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ช่วงนั้นก็พอดีได้มาพบกับหลายๆ คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น
บุษบา ดาวเรือง คุณกิตติศักดิ์ ซึ่งเราก็มีจุดหมาย
หลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน
แน่นอนว่าเรื่องดนตรีที่ทุกคนเสพย์อยู่ในโลกนี้
ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของธุรกิจ มันเป็นธุรกิจ
ที่นำความบันเทิงไปสู่ประชาชน
ประชาชนก็แลกมาด้วยการจ่ายเงิน
ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันเป็นการซื้อความสุขที่ถูกมาก
ในการซื้อธุรกิจที่เผอิญมันเป็นธุรกิจที่มีอาร์ตเข้ามาเจือปน
เป็นแกนในการให้ความเสน่หาส่วนบุคคล


จุดประสงค์ที่ผมเข้ามาตรงนี้มันมี 2 อย่าง คือ
อย่างแรกเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
คำว่าดนตรีบ้านเราเมื่อไหร่มันจะเป็น
business สักที เพราะว่าอะไรก็แล้ว
แต่ถ้ามันไม่เป็นธุรกิจ
การเจริญเติบโตมันจะไม่มีการผลักดัน
มันจะไม่มีเม็ดเงินมาล่อ
ให้คนตะเกียกตะกายกันอีกจุดประสงค์ก็คือ
ธุรกิจมันถูกผลักดันแล้ว
เชื่อมั่นว่าจะเกิดการแข่งขัน
เพราะการทำอะไรก็แล้วแต่
ถ้ามันขยายกว้างออกไป
มันจะเกิดการแข่งขัน มันจะเกิดพัฒนาการ
เกิดการยกระดับมาตรฐาน
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เราทำ
คนที่เข้าไปร่วมอยู่ในธุรกิจนั้น
เป็นคนอย่างไร ซึ่งตรงนี้
เป็นสิ่งที่ในต่างประเทศเขา
ทำกันมาตลอดผมเชื่อมั่นว่า
สักวันหนึ่งทุกอย่าง
มันจะถูกจัดแบ่งลงตัวด้วยธรรมชาติ
เหมือนกับทุกสิ่งที่ผมคิด

แล้วในที่สุดเราก็เริ่มลุยงานกัน
โดยมีคุณไพบูลย์เป็นหัวเรือใหญ่

เป็นแบ็คอัพ ทำกันมาเรื่อย
จนถึงวันนี้ก็ปีที่ 11 แล้ว
เราทำจากที่ไม่มีแม่แบบอะไรให้ศึกษาเลย
เราก็ทำกันมา พยายามทำทุกอย่าง
ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง
ก็พยายามทำให้มันดีที่สุด
ได้ตามอัตภาพ และสถานภาพของไทยเราซึ่ง
ตรงนี้ factor มันเยอะมาก
เราก็ถูกประเมินจากสังคมว่าเราประสบความสำเร็จ
ตรงนี้ในเรื่องส่วนตัว ผมก็มีความภูมิใจ ดีใจ

และขอบคุณสำหรับคนที่เห็น ที่มองในแง่ดี

แต่ในเวลาเดียวกันในการทำธุรกิจ
ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่สำหรับบ้านเรา

ถ้ามีคำว่าธุรกิจมาเกี่ยวข้องด้วย มักจะถูกรุม
ซึ่งตรงนี้เราก็อยู่ในฐานะนั้นอยู่เพราะเราเป็นบริษัทใหญ่
ซึ่งทำอะไรออกมาได้ผล
ส่วนมากแล้วจะถูกมองในทางร้ายตลอดเวลา

ตรงนี้ในส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าต้องพิสูจน์ตัวเอง
ซึ่งสำหรับคนไทยผมกล้าพูดได้ว่า
ผมทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

ผมเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคน
ซึ่งตรงนี้ในมุมมองของคน

ที่มองกันในแต่ละสังคมมันเป็นยังไง
แล้วความบริสุทธิ์ใจมันอยู่ตรงไหน

ผมเป็นคนจริงจัง
เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการมองชีวิต

เป็นเรื่องของคน
สังคมใดที่ไม่มีเหตุผล
สังคมใดที่ไม่สามารถจะ
ก้าวพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่าได้มาก

มันเป็นผลสะท้อนให้เห็นว่า
จริงๆ แล้ว สังคมนั้นยังล้าหลังอยู่

ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าได้ทำอะไรไว้ให้กับ
คนหลังๆ ได้เยอะมากพอสมควร

ผมเพียงแต่หวังว่าคงจะมีคนที่ 2 ที่ 3 ที่ 4-5-6


และในที่สุดผมก็อยากจะเพ้อฝันว่า
น่าจะมีคนเก่งๆ ระดับอินเตอร์
สักแสนคนในประเทศไทย แล้วก็ช่วยกัน
ซึ่งตรงนี้อยากจะผ่านถึงคนรุ่งใหม่อยากให้รู้ว่า

หนทางการต่อสู้ของพี่เต๋อมัน
ทารุณและโหดร้ายมาก กับคนที่มีอุดมคติ
คนที่มีความบริสุทธิ์ใจ

อยากฝากไปถึงคนรุ่นต่อๆ ไปว่า
การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่า
อยากคิดทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม
บางครั้งมันก็จะต้องมีสิ่งที่มา
บั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ
เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์
และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า
ในสังคมเรา ยังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมาก
ในทุกจุดแม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน"






http://www.facebook.com/rewat.forever

Jan 26, 2008

The Legend: REWAT BUDDHINAN


Re-Arranged: Chatree Kongsuwan (ชาตรี คงสุววรณ)


อัลบั้ม: เต๋อ 2
พ.ศ. 2528
คำร้อง : ดี้/เต๋อ
ทำนอง : ไพฑูรย์
เรียบเรียง : ไพฑูรย์
Intro
เขาคนนั้นมาติดพันรักเธอ
พากเพียรมาเจอะเจอไม่เว้นเย็นเช้า
เห็นเขาทำตัวดีกับเธอทุกอย่าง
เห็นเขาไม่ห่างไม่จืดจางจากเธอ
เห็นเธอชื่นบานขับขานความสุข
เหมือนกับไม่เคยมีทุกข์
(ดนตรี)

เขาคนนั้นสิ้นสุดกันหรือไร
ท่าทางเธอเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมนัก
เหงาหงอยจริงเธอตาเหม่อลอยคิดหนัก
สงสัยคงอกหักความรักหลุดลอย
รักเคยเหลียวแลแต่แล้วมาเปลี่ยน
นี่แหละบทเรียนความรัก
(*)
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย
(ดนตรี)
(ซ้ำ * )
ชีวิตเรานั้นมันเนิ่นนานนะเธอ
สิ่งใดที่เจอะเจออย่าเผลอยอมแพ้
แม้เสียมันไปควรจะลองสู้ใหม่
เริ่มต้นกันใหม่ให้ได้ดีกว่าเดิม
เรียนรู้ในเรื่องใหม่เก็บไว้เพิ่มเติม
เสริมส่งตัวเองดีนัก
(ซ้ำ * )
(ดนตรี)
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย
อกหักไม่ยักกะตาย










ความดี ความรัก ความผูกพัน ทำให้พี่เต๋อยังยุ่งอยู่

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=113952


http://www.facebook.com/rewat.forever



ความที่พี่เต๋อเป็นรุ่นพี่ที่เรียนเซนต์ตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมเช่นเดียวกัน

ทำให้ผมค่อนข้างสบายใจ และไม่กระดากปากนัก เมื่อต้องใช้คำว่า "พี่"

เรียก Idol ของตัวเองคนหนึ่ง แม้จะไม่เคยได้พบพี่เต๋อตัวเป็นๆซักครั้งเดียวก็เหอะ

อย่างน้อยก็พี่เต๋อกับผมก็ (น่าจะ) เคยเรียนห้องเดียวกัน
เคยใช้กระดานดำแผ่นเดียวกัน

เคยกินข้าวในโรงอาหารเดียวกัน
เคยเล่นบอลในสนามหญ้าผืนเดียวกัน

แม้กระทั่งเคยเข้าห้องน้ำที่เดียวกัน (แต่ต่างเวลาหลายปี)ละน่า




ผมรู้จักพี่เต๋อครั้งแรกจากปกแผ่นเสียงของ The Impossible
และ Oriental Funk ที่ซื้อหามาฟังในช่วงเรียนมัธยม และก็แอบภูมิใจเล็กๆ
เมื่อได้รู้ประวัติพี่เต๋อเพิ่มเติมจากนิตยสารไรซักเล่ม
ว่าพี่เต๋อเคยอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกับผมมา
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในแนวทางดนตรี
จนเมื่อพี่เต๋อออกผลงานชุด เรามาร้องเพลงกัน ในสังกัด peacock
ผมถึงกับต้องไปตระเวนหาซื้อแผ่นเสียงชุดนี้ซะทั่วย่านสะพานเหล็ก
อัลบั้มเพลงอะไรหว่า แปลกและฉีกแนวชาวบ้านชาวช่องเค๊าไปไหนๆ หิ้วกลับบ้านมาฟัง
เปิดฟังทุกวันจนร้องตามได้ทุกเพลง ในใจแอบลุ้นให้มีผลงานตามออกมาอีกเต๊อะ
(เพราะไม่มั่นใจว่าเพลงแนวนี้จะเป็นที่ยอมรับในตลาดวงกว้างได้ซักแค่ไหน)


ต่อมาไม่นาน ผมก็เห็นโฆษณาแปลกชุดหนึ่งที่เน้นหนวดดกดำของเจ้าของผลงาน

พร้อมกับการปล่อยบางเพลงออกมายั่วหู แน่นอนว่าผมต้องรีบแจ้นไปร้านเฮียสี่

เชิงสะพานเหล็ก เพื่อจับจองแผ่นชุดนี้ทันทีที่ปล่อยออกมา และก็ไม่ผิดหวังครับ เต๋อ 1

ผสมผสานระหว่างเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายขึ้น (เมื่อเทียบกับเรามาร้องเพลงกัน)

แม้จะในมุมมองที่แปลกแยกกว่าใครๆเค๊าก็เหอะ ท่วงทำนองที่ติดหูได้ไม่ยาก

ที่สำคัญสำหรับผม คือทุกเพลงเป็นเพลงที่โดน!

นี่คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในใจผม (และคาดว่าอีกหลายๆคน) เลยแหละ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากเล่า เมื่อคิดถึงพี่เต๋อครับ


ครั้งหนึ่ง ผมไปเที่ยวบ้านพี่คนหนึ่งที่ทำงานกับแกรมมี่
และพบตุ๊กตาของพี่เต๋อ 2 แบบ แบบในรูปนี่กึ่งทางการนิดนึง
อีกแบบน่าจะเป็นชุดแบบในคอนเสิร์ตปึ๊ก
(จากการสอบถาม ทำออกมาจำนวนจำกัด)บนโต๊ะทำงานของพี่แก
ความที่ผมชอบของแบบนี้อยู่เลยออกปากถามถึงที่มา
(เพราะดูท่าพี่แกไม่น่าสะสมของน่ารักแบบนี้)ก็ได้คำตอบว่า เป็นพี่เต๋อว่ะ
ถ้าไม่ใช่พี่เต๋อพี่ไม่เอามาหรอก แล้วก็เล่าเรื่องพี่เต๋อให้ผมฟังอีกยาวเหยีย
ดเช่นเดียวกับเมื่อเร็วๆนี้ ผมก็มีโอกาสได้คุยกับพี่อีกคนที่ใกล้ชิดครอบครัวพี่เต๋อ นอกจากคำพูดที่พี่แกบอกว่าถ้าพี่เต๋อยังอยู่วงการเพลงไทยคงไปได้ไกลกว่านี้อีกแยะและก็รู้สึกได้ถึงความชื่นชม
และความรักที่พี่แกมีให้พี่เต๋อ
และครอบครัวอย่างเต็มเปี่ยม

คงจะเป็นความดีของพี่เต๋อแหละครับ
ที่ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันชื่นชมและพูดถึงพี่เต๋อในทางที่
ดีทั้งนั้น

ต่อจากความดี ก็คงจะเป็นความรักด้วย ความรักมันต้องตอบด้วยรักละครับ
ถ้าพี่เต๋อไม่มีความรักให้ใครต่อใครทุกคนรายรอบตัว
คงยากที่ทุกคนจะมอบความรักตอบแทนพี่เต๋อได้พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้

และที่แน่นอน ก็คือความผูกพันเพราะแม้พี่เต๋อจะจากไป
เป็นเวลาพอสมควรแล้วแต่ทุกคน(รวมทั้งพวกเราที่มานั่งพิมพ์บล็อกร่วมกันอยู่นี่)
ก็ยังพร้อมใจกันระลึกถึงพี่เต๋อ อยู่เสมอ


ความดี และความรักที่มีให้ทุกคนของพี่เต๋อ
ก่อให้เกิดความผูกพันซึ่งไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงได้
แม้วันเวลาจะผันผ่านไปนานซักแค่ไหนก็ตาม

พี่เต๋อยังไม่ได้จากไปไหนไกลหรอกครับ
ยังสาละวนอยู่ในความคิดคำนึงของพวกเราทุกคนตะหาก
ท่าจะยุ่งมากซะด้วยเพราะพวกเราคิดถึงพี่เต๋อบ่อยเหลือเกินพักบ้างนะพี่นะ

----------------------

และเพื่อให้ได้อารมณ์ร่วมของพี่ๆน้องๆเซนต์ฯด้วยกัน

ผมจึงจะขอคัดคำไว้อาลัยของพี่ๆและเพื่อนเซนต์ฯ

ที่เป็นส่วนหนึ่งในหนังสืออนุสรณ์

งานสุดท้ายของพี่เต๋อมาไว้ตรงนี้ด้วยเลย

ด้วยความเคารพครับพี่


เต๋อเพื่อนรัก
ผมรู้จักกับเต๋อมาตั้งแต่เป็นนักเรียนโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลด้วยกัน

ตอนนั้นผมอยู่ ม.8 เต๋ออยู่
ม.6

และได้คบกันฉันมิตรมาตั้งแต่นั้นจนถึงบัดนี้

เมื่อตอนเด็กทุกครั้งที่ผมไปบ้านเต๋อ

ผมได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากพี่น้องของเต๋อทุกคน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ของเต๋อ ซึ่งให้ความเมตตาและเอ็นดูผมมาก

แม่เป็นคนที่มีจิตใจงดงามโอบอ้อมอารีแก่เพื่อนลูกทุกคน

ขณะเดียวกันแม่ก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง สู้ชีวิต

เลี้ยงลูกทุกคนให้เติบใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาดวยลำพังสองมือของแม่เอง

แม้ว่าพ่อจะจากไปก่อนเวลาอันควร

เต๋อคงจะเหมือนแม่ในแง่นี้

เพราะเต๋อเป็นคนที่สู้ชีวิตด้วยลำแข้งของตนเองมาโดยตลอด

จากช่วงที่ลำบากยากเข็ญเมื่อวันหนุ่ม

จนประสบความสำเร็จในการงานอย่างน่าชื่นชม

เต๋อเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบใคร และหลีกเลี่ยงที่จะรบกวนผู้อื่นในแง่เงินทอง

ถ้าจำเป็นจริงๆ เต๋อก็จะใช้วิธีกู้ยืมโดยใช้คืนให้อย่างครบถ้วนในระยะเวลาอันสั้นเสมอ

เต๋อเคยยืมเงินจากผมเพื่อใช้จัดงานแต่งงาน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป้นของสังคมไทย

และหลังจากแต่งงานเพียง 1 วัน เต๋อก็นำเงินมาใช้คืนให้หมด

เต๋อบอกว่ารวบรวมมาจากเช็คของขวัญ

อีกครั้งหนึ่งเมื่อวง Oriental Funk ได้รับสัญญาว่าจ้างให้ไปเล่นดนตรีที่ประเทศสวีเดน

เต๋อบอกผมว่า วงดนตรียังไม่มีเครื่องดนตรีของตนเองเลย

จะขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อเครื่องดนตรี

(ขณะนั้นผมทำงานอยู่ธนาคารกสิกรไทย)

โดยจะนำเงินค่าจ้างมาชำระคืนให้

ผมตกลงด้วยเชื่อในความรับผิดชอบของเต๋อ และก็เป็นไปตามคาด

เมื่อไปถึงสวีเดนแล้วเต๋อทยอยส่งเงินมาชำระทุกเดือน

จนคบภายในเวลา 11 เดือนเท่านั้น

ก่อนระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดด้วยซ้ำ

ความเป็นคนรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดของเต๋อทำให้ผมแน่ใจตั้งแต่สมัยนั้นว่า

เต๋อจะต้องมีความก้าวหน้าไปอีกไกลในอนาคต และก็เป็นจริง

เต๋อก้าวหน้าในการงานอย่างมั่นคง เต๋อไม่ได้ศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจ

แต่เต๋อสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามหลักการที่ทันสมัย

ผลผลิตและผลงานของเต๋อมีคุณภาพสูง และตรงกับความต้องการของตลาดโดยแท้

การแนะนำผลผลิตหรือผลงานใหม่สู่ตลาดจะเป็นไปตามจังหวะที่ถูกต้องเสมอ

และหลายครั้งเต๋อเป็น Trend Setter เลยทีเดียว

ความสำเร็จของเต๋อเป็นที่ชื่นชมของเพื่อนฝูงมาโดยตลอด

เต๋อเป็นคนที่รักลูกเมียมาก คำที่เต๋อพูดเมื่อตอนเตรียมงานแต่งงานนั้น

ทำให้ผมรู้ได้ว่าเต๋อรักอี๊ดมาก เป็นลักษณะของคนที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด

ให้แก่ผู้หญิงที่เขารักและทุกคนคงเห็นแล้วว่าเต๋อได้มั่งมั่นสร้างฐานะ

และชีวิตที่ดีให้แก่อี๊ดและลูกๆ ได้สำเร็จสมดังที่ตั้งใจไว้ในช่วงเวลาที่ไม่นานนัก

ขอให้แพ๊ตและพีชได้รับรู้ไว้ว่า พ่อเต๋อของหลานทั้งสองได้ต่อสู้ชีวิต

สร้างฐานะมาด้วยความสามารถของตนเองโดยแท้

ก้าวหน้ามาอย่างทรนงองอาจด้วยฝีมือ สมองและจิตใจที่เข้มแข็ง แน่วแน่

เป็นความก้าวหน้าที่น่าชื่นชมและมีศักดิ์ศรี

เป็นแบบอย่างที่หลานทั้งสองควรยึดถือและทำตาม

เต๋อเพื่อนรัก ขอให้หลับให้สบาย และขอให้ได้ไปสู่ภพที่ดีขึ้นสมกับความดีที่ได้ทำไว้เถิด
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล (รุ่น 43-2507)


ไม่มีอะไรที่เต๋อทำให้ไม่ได้

ผมเป็นคนไม่พูดอะไร และไม่อยากพูดอะไรมากเกี่ยวกับเขา 30 ปีกว่าๆ มาแล้ว

ที่ผมเรียนหนังสือมากับเขาสิบปีกว่ามาแล้วที่ผมอยู่กับเขาที่แกรมมี่

เขาเป็นเพื่อนที่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เพื่อนจะให้ได้ไม่มีอะไรที่เต๋อทำให้ไม่ได้ถ้าเป็นเพื่อน

ทุกวันนี้ผมยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ว่าเต๋อไม่อยู่แล้ว
ผมถามตัวเองว่ามันเป็นการสมควร
หรือที่จะลืมเพื่อนที่ดีอย่างเต๋อ......

ผมยังทำไม่ได้ ผมยังนอนคิดถึงเขาอยู่ทุกๆคืน
ตอนดึกๆเหลียวมองไปบ่อยๆที่ประตู
และคิดเสมอว่าพรุ่งนี้ผมไปที่แกรมมี่ผมจะได้เจอเขา
เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ (รุ่น 45-2509)




"ขอบคุณพี่เต๋อ สำหรับทุกๆสิ่งที่พี่ให้ เรื่องที่เราเคยฝันกันไว้....ผมจะทำต่อไปครับ"
ธนา ลวสุต (รุ่น 63-2527)










ส้มตำ หรือ ตำหมักหุ่ง มาจากเมืองนอก


ร่มรื่นในเงาคิด
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

มติชน

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1278


ของนอกในฐานะ "คนอีสาน" ค้างคาใจมาตลอด ว่า ตำบักหุ่ง หรือตำหมักหุ่ง
หรือ ตำส้ม ซึ่งเป็น "อาหารจานหลัก" บ้านเฮา และแพร่ไปทั่วประเทศในวันนี้
มีความเป็นมาอย่างไรใครเป็นเจ้าตำรับคนคนนี้น่าจะได้รับการยกย่องให้เป็น
"มหาขวัญใจคนอีสาน" ตลอดกาลที่ผ่านมา มีข้อสันนิษฐานต่างๆ มากมาย
ซึ่งก็รับฟังเอาไว้ แต่ยังไม่ "แซ่บหลาย" สักที

อ่านหนังสือ "พรรณพืช ในประวัติศาสตร์ไทย" ของ
ดร.สุรีย์ ภูมิภมร
แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน

สำหรับเมนูตำบักหุ่งเพราะในหนังสือได้พูดถึงพืชที่
เป็นองค์ประกอบสำคัญของอาหารจานนี้

คือ มะละกอ และพริก เอาไว้มากพอสมควร
แม้ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่า ตำบักหุ่ง
มันเริ่มขึ้นมาเมื่อใด
แต่ก็พอเห็นเค้าๆ อยู่ทั้ง "มะละกอ" และ "พริก" ถือเป็น "ของนอก"ทั้งคู่
ดร.สุรีย์
ให้ข้อมูลว่า คนที่ทำให้พริกแพร่หลายในโลกคือ ปีเตอร์ มาร์ทิล
ซึ่งเป็นลูกเรือของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา นั่นเอง
โดย ปีเตอร์ มาร์ทิล ได้เอาพริกจากทวีปอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิด
ไปปลูกที่สเปน เมื่อประมาณปี พ.ศ.2096
ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบที่ 3 แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิของกรุงศรีอยุธยา

ต่อมาชาวสเปนและชาวโปรตุเกส ได้นำพริกเข้ามาเอเชีย
โดยปลูกในอินเดียประมาณปีพ.ศ.2143
ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งราชวงศ์สุโขทัย
ของกรุงศรีอยุธยา

อินเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยในวัฒนธรรมการกินได้ผลิตอาหารรสจัด
และเป็นเจ้าตำรับเครื่องแกง พริกที่มีรสเผ็ดก็คงถูกปรับเข้าไป
เป็นองค์ประกอบของอาหารเหล่านั้น
และได้เผยแพร่วัฒนธรรมการกินไปยังผู้คนในประเทศใกล้เคียงในเวลา


ต่อมา
ดร.สุรีย์ บอกว่า ในปี พ.ศ.2143 พริกจากอินเดียได้แพร่หลาย
เข้าไปในประเทศจีนและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งคงรวมถึงไทยด้วยถ้ายึดถือตามข้อมูลดังกล่าว

ก็น่าจะสันนิษฐานว่า คนไทยรู้จัก "พริก" เมื่อประมาณ 405 ปีที่ผ่านมาฉะนั้น
คนในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้น ไม่น่าจะรู้จักพริก
และคงไม่ได้ลิ้มรสเผ็ดของพริกแต่อย่างใดอาหารของคนสมัยนั้น
จึงน่าจะ "จืด" ไม่เผ็ดร้อนเหมือนทุกวันนี้ ?!?


ส่วนมะละกอนั้น
ดร.สุรีย์ บอกว่า เข้ามาประเทศไทย หลัง "พริก" อีกทั้งนี้
ตามเอกสารของกระทรวงต่างประเทศโปรตุเกส ได้ระบุชัดเจนว่า
มะละกอมีถิ่นกำเนิดที่เทือกเขาแอนดีส
แต่บางเอกสารบอกว่ามะละกอมาจากเม็กซิโก

หรือหมู่เกาะอินเดียตะวันตก

บ้างก็ว่ามะละกอมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง
บริเวณประเทศเม็ซิโกตอนใต้และคอสตาริกาอีกเอกสารหนึ่ง

ยืนยันว่าสเปนได้นำมะละกอมาจากฝั่งทะเลแคริบเบียนของปานามาและโคลัมเบีย


เมื่อปี พ.ศ.2069 เอกสารของสเปนได้ให้รายละเอียดว่า
ค็อนควีสทะดอร์ส หรือเหล่านักรบสเปนที่มีชัยเหนือเม็กซิโกและเปรู
เป็นผู้นำมะละกอจากสเปนไปปลูกที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเรียกว่า เมลอน ซาโปเต้
ในช่วงปี พ.ศ.2314 อันเป็นช่วงที่กรุงธนบุรี เป็นราชธานี
ได้มีรายงานของ นายลินโซเตน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวดัตช์ว่า
คนโปรตุเกสได้นำมะละกอมาปลูกที่มะละกา
จากนั้นจึงนำไปปลูกที่อินเดียส่วนอีกทางหนึ่งได้ขยายไป
ปลูกที่อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทยสำหรับประเทศไทยนั้น
คาดกันว่ามะละกอจะเข้ามาหลายทาง อาจจะเข้ามาภาคใต้
หรือเข้ามาทางอ่าวไทยซึ่ง
ดร.สุรีย์ ชี้ว่า ดูตามหลักฐานต่างๆ แล้วน่าจะเชื่อได้ว่า
มะละกอจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์จึงน่าจะฟันธงได้ว่า
คนสมัยอยุธยาขึ้นไป ไม่เคยได้ลิ้มรส "ส้มตำ" เลย !

ดร.สุรีย์ ให้ข้อมูล "พริกและมะละกอ" เอาไว้เท่านี้ก็เลยต้องหลับตานึกเอาต่อไปว่า
เมื่อมะละกอเข้ามาในประเทศไทยในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
โดยเข้ามาทางภาคใต้และทางด้านอ่าวไทย นั่นก็แสดงว่า
กว่าที่มะละกอจะแพร่ไปสู่ภาคอีสาน ก็คงใช้เวลาอยู่สมควรและแพร่ไปแล้ว
ก็คงต้องผ่านการลองผิดลองถูก กว่าที่จะนำมาปรุงเป็นอาหาร
และกลายเป็นสูตรส้มตำที่สุดจึงเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ส้มตำ
จะเพิ่งมาเกิดจริงๆ ในช่วงกลางสมัยรัตนโกสินทร์ นี้เอง


อย่างไรก็ตาม
ดร.สุรีย์ ได้ให้ข้อมูลว่า คนอีสานอาจจะรู้จักมะละกอก่อนก็ได้
โดยผ่านทางญวน ทั้งนี้ ที่เวียดนามนั้น มีอาหารที่ชื่อ GO DDU DDU BO KHO
คล้ายกับส้มตำเป็นอย่างมาก คนเวียดนานกินเล่น และกินกับเส้นขนมจีน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ใครได้รับอิทธิพลจากใครแต่จากข้อมูลตรงนี้
ทำให้เรารู้ขึ้นมาชัดเจนอย่างหนึ่งว่า "ตำบักหุ่ง" หรือ "ส้มตำ"
ไม่ใช่อาหารดั้งเดิมของภูมิภาคนี้ และไม่ได้เก่าแก่อย่างที่นึก
คนอีสานอาจมีเมนู "ตำส้ม" ของตัวเองอยู่ก่อนแล้วส้ม
ก็คือเปรี้ยวตำส้ม ก็คงหมายถึง ตำอะไรก็ได้ที่เปรี้ยวๆ
อยู่มาวันหนึ่งอาจมีคนลองฝานมะละกอดิบลงไปตำหรือคลุก

ชิมดูแล้ว อาจจะเห็นว่าเข้าท่า ยิ่งเติมน้ำปลาแดก ลงไปยิ่ง "นัวมากขึ้น"

สูตรก็คงติดตลาด จากนั้นก็คงแพร่หลาย
แทรกเข้าไปเป็นหนึ่งในเมนูอาหารจานหลักของคนอีสาน
ในที่สุด"ของนอก" ก็กลมกลืนกลายเป็นของถิ่นทุกวันนี้คนอีสานและตำบักหุ่ง
รวมเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออกแยกไม่ออก

จนหลายคนไม่เชื่อเอาเสียเลย ว่า ตำบักหุ่ง ที่แซ่บกันอีหลีนี้ เป็น "ของนอก"



หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


"ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียร ไม่มีวันสำเร็จ"

Jan 19, 2008

ภาพถ่ายและตัวตนที่ "ชัดเจน" ของ เดโช บูรณบรรพต





พิชามญชุ์

สกุลไทย

ฉบับที่ 2756 ปีที่ 53
ประจำวันอังคาร ที่ 14 สิงหาคม 2550

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=5742&stissueid=2756&stcolcatid=1&stauthorid=2

จากผลงานภาพถ่ายที่ปรากฏต่อสาธารณชนในห้วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึง "ความชัดเจน" ในผลงานภาพถ่ายของ "เดโช บูรณบรรพต" ช่างภาพระดับเกียรตินิยมจากสมาคมถ่ายภาพแห่งสหราชอาณาจักร และรางวัลการันตีทั้งในและนอกประเทศอีกมากมาย แต่สำหรับตัวตน ชีวิตและการทำงานของเขา เบื้องหลังความงดงามน่าประทับใจของภาพถ่ายที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เดโช บูรณบรรพต ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในแวดวงการถ่ายภาพของเมืองไทยมาเนิ่นนานหลายสิบปี ทั้งในฐานะช่างภาพมือรางวัลที่ชนะการประกวดถ่ายภาพมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะผลงานภาพถ่ายที่โดดเด่นจนสามารถสอบผ่านเกียรตินิยมระดับโลก ARPS และ FRPS ของสมาคมถ่ายภาพแห่งสหราชอาณาจักร (The Royal Photographic Society of Great Britain) ซึ่งถือว่าเป็นสมาคมที่เก่าแก่กว่า ๑๕๐ ปี และได้รับการกล่าวขวัญว่าสอบผ่านยากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือเกียรติยศสูงสุดเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ติดตามบันทึกภาพพระราชกรณียกิจในคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบัน

ถ้าเรานิยามเกียรติประวัติข้างต้นเป็นความสำเร็จในชีวิตก็อาจจะไม่ผิดจากความเป็นจริงนัก แต่ เดโช บูรณบรรพต กลับเห็นตรงกันข้าม

"คงไม่ใช่ ผมถือง่าย ๆ ว่าตราบใดที่ผมยังแข็งแรง การถ่ายรูป คือ การได้ออกกำลัง ไปเที่ยว มันมีความสุขนะครับ ผมอาจจะตั้งเป้าชีวิตน้อยไป ผมใช้ชีวิตสบายเกินไป ผมอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ได้ยึดติดกับอะไรมากเกินไป"

เดโชเริ่มถ่ายภาพเมื่ออายุ ๘ ขวบ จากกล้องถ่ายรูปฟูจิก้า ฮาล์ฟเฟรม ซึ่งเป็นกล้องตัวแรกในชีวิตที่ได้รับจากคุณพ่อ ทั้งนี้ได้รับอิทธิพลในเรื่องการถ่ายภาพมาจากคุณพ่อซึ่งมีความชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างมาก

"ตอนเด็กๆผมอยู่ที่จังหวัดนครปฐม คุณพ่อผมเป็นหมอ แต่ชอบถ่ายรูปมาก แล้วก็เล่นกล้องมาตลอด พออายุ ๘ ขวบ คุณพ่อผมก็ซื้อกล้องให้ ตอนนั้นเรายังเด็กก็ถ่ายเพื่อนอย่างเดียว สมัยก่อนฟิล์มม้วนหนึ่งถ่ายได้ ๙๒ รูป ใช้เวลา ๖ เดือน กว่าจะหมดม้วน ตอนนั้นค่าล้างอัดก็แพงมาก แต่คุณพ่อก็ล้างอัดให้เอง ตอนนั้นเราถ่ายรูปก็ไม่มีหลักวิชาอะไร ก็ดูคุณพ่อ ดูจากหนังสือ เพราะที่บ้านมีหนังสือรูปเยอะ"

เดโชจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียน ภปร.ราชวิทยาลัย ชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท หลังจากนั้นจึงสอบเข้าเรียนต่อที่คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขณะที่เป็นนิสิตจุฬาฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมในการถ่ายภาพกับชมรมถ่ายภาพจุฬาฯ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นความสนใจในการถ่ายภาพอย่างจริงจัง

"บรรยากาศของชมรมถ่ายภาพตอนนั้นก็ดีครับ รุ่นพี่ก็กระตือรือร้น มีการถ่ายภาพกิจกรรมของนิสิต เราก็ไปรวมหัวกันแล้วก็ไปถ่ายรูปมา รูปที่ได้ก็เอามาติดที่ชมรม เพื่อนๆ ก็มาสั่งรูป ชมรมก็ได้เงิน มีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ ซื้ออุปกรณ์ห้องมืดมาใช้บ้างเพราะว่าชมรมต้องเลี้ยงดูตัวเองพอสมควร เพราะทางสโมสรนิสิตฯ ก็มีงบจำกัดมาก สมัยนั้นผมก็รับงานถ่ายรูปบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอได้ค่าขนม ไปถ่ายรูปแต่งงานบ้าง รุ่นพี่รับปริญญาเราก็ไปถ่ายให้ แต่เราถ่ายตามใจเรานะครับ เขาสั่งเราไม่ได้หรอก เราถ่ายตามใจตัวเอง"

ในช่วงที่ศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นช่วงที่ได้ฝึกฝีมือการถ่ายภาพ จากสมาชิกชมรมถ่ายภาพ มาเป็นประธานชมรม และได้มีโอกาสส่งผลงานเข้าประกวดในระดับนิสิตนักศึกษาจนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมประเภทภาพถ่ายขาว-ดำ และได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๒ ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลเหรียญเงินจากสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ประเภทภาพถ่ายขาว - ดำจากการประกวดระดับประชาชนทั่วไป

"ภาพที่ผมส่งเข้าประกวดในระดับนิสิตฯจนได้ถ้วยพระราชทาน มี ๒ ภาพ ภาพแรกเป็นภาพภรรยาผม เป็นภาพพอร์ตเทรต ถ่ายตอนที่เขากำลังอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธสุดขีด กำลังงอนเต็มที่ มีกรรมการท่านหนึ่งวิจารณ์ว่ารูปนี้ถ้าไม่ให้รางวัล คนในรูปอาจจะออกมาฟาดเราได้ (หัวเราะ) ความโดดเด่นของภาพคือการจับอารมณ์ได้ คือการถ่ายภาพพอร์ตเทรต สิ่งสำคัญ คือ การจับคาแร็คเตอร์หรืออารมณ์ของแบบให้ได้ ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพคนกำลังหยอดน้ำมันรางรถไฟ ผมเดินไปถ่ายแถวสถานีรถไฟบางกอกน้อย ภาพนั้นใช้โพรเซส (Process) ห้องมืด ซึ่งทำยากมาก ในระดับนิสิตนักศึกษาน่าจะไม่เคยมีมาก่อน

ตอนที่ผมอยู่จุฬาฯ ในเรื่องรูปขาว-ดำ ผมก็เคยไปปรึกษา คุณไพบูลย์ มุสิกโปดก สมัยท่านทำงานอยู่ที่โกดัก ตอนนี้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติด้านการถ่ายภาพ ผมก็ไปปรึกษาท่านเกี่ยวกับเรื่องการตัดส่วนรูป การดูโทนของรูป ความเข้มของรูป แล้วก็เรียนทางด้านโพรเซสห้องมืดจาก คุณอุดมศักดิ์ ตันติเมธ ท่านก็ดี สอนให้หมด จากนั้นก็ศึกษาเรื่องการอัดรูปจาก คุณไพบูลย์ ศิลปงามเลิศ คุณหว่อง จีเส่ง ก็สะสมความรู้มาเรื่อยๆ แต่สำคัญคือเราต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายภาพเยอะเหมือนกัน เรื่องเทคนิคต่างๆ ส่วนใหญ่จะศึกษาเองได้เยอะ เพราะเมืองไทยเรามันเหมือน?ลักจำน่ะ ส่วนใหญ่ก็สอน ๆ กันมาแต่สอนไม่หมด บางทีคนสอนก็บอกว่าต้องทำอย่างนี้ แต่จริงๆ รู้ไม่หมด พอถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าต้องทำอย่างนี้ เมื่อเราอยากทราบเราก็ต้องไปอ่าน ไปศึกษาเอา โชคดีที่ภาษาอังกฤษของผมดีพอสมควร ก็เลยไม่มีปัญหาในเรื่องการหาความรู้"

จากการศึกษาเทคนิคในการถ่ายภาพจากผู้รู้และการค้นคว้าด้วยตนเอง ทำให้ฝีมือในการถ่ายรูปพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถสอบผ่านได้รับเกียรตินิยม ARPS และ FRPS ของสมาคมถ่ายภาพแห่งสหราชอาณาจักรเมื่ออายุเพียง ๓๖ ปี และเป็นคนไทยหนึ่งในหกที่ได้รับเกียรตินี้

"การสอบนี้เขาจะมีปีละ ๒ ครั้ง ในการสอบนี้ ก่อนอื่นเราต้องสอบ ARPS ให้ได้ก่อน เมื่อสอบได้แล้ว เราก็ส่งภาพชุดใหม่ไปสมัครสอบในระดับ FRPS การสอบของเขาจะไม่เหมือนเมืองไทย ของเราจะมีกรรมการ ๕ คน ถ้าได้คะแนนเสียงข้างมาก อาจจะเป็นสามในสี่ หรือสองในสามก็ผ่าน สมมติเราส่งไป ๑๘ รูป ถ้าผ่านสองใน สามก็ถือว่าได้ แต่ของเขามีกรรมการ ๙ คน ต้องให้เป็นเอกฉันท์ คือ บางทีเราส่งรูปไป บางรูปสวยมาก แต่รูปนั้นอาจจะโดดเด่นมากเกินไปในชุดนั้น ฝรั่งถือว่าฟลุคนะครับ เขาตัดออกเลย เหมือนตัดสินบัลเล่ต์หรือยิมนาสติก คะแนนต่ำสุดกับสูงสุด เขาไม่นับ และถ้ากรรมการคนเดียวยกมือไม่ให้ก็ตกเลยครับ แล้วกรรมการของเขาก็ล็อบบี้ไม่ได้เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเชิญใคร และเขาไม่เคยเชิญกรรมการซ้ำเลย ผมสอบผ่านทั้งสองขั้นตอนนี้ได้ติดต่อกันภายใน ๖ เดือน ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยเราจะสอบในระดับ ARPS ได้เยอะ แต่ในระดับ FRPS ที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้มีอยู่ ๕ คน ตอนที่ผมสอบ FRPS ได้ เมืองไทยเราไม่ค่อยรู้สึกรู้สมเท่าไร เพราะต้องยอมรับว่ามันมีเรื่องศักดิ์ศรีค่อนข้างมาก แต่ทางฮ่องกงหรือสิงคโปร์เขาตื่นเต้นครับ เขาขอให้เราไปบรรยายที่นั่น ส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ ตอนผมทำธุรกิจของผม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมก็ไปเจอช่างภาพอังกฤษคนหนึ่ง อายุ 60 กว่าแล้ว ผมยื่นนามบัตรให้เขาซึ่งในนั้นก็ไม่ได้บอกว่าผมได้ FRPS พอเห็นชื่อผมเขาบอกว่าเขาจำชื่อผมได้ เขารู้ว่าผมได้ FRPS เขายืนมองหน้าผม แล้วก็ถามว่าผมอายุเท่าไร ตอนนั้นผมอายุ ๓๖ เขาส่ายหัวแล้วก็พาไปกินข้าวเลย เขาบอกว่าคนอังกฤษส่วนใหญ่ที่จะได้ FRPS อายุจะประมาณ ๖๐"

จากผลงานที่ผ่านมาทั้งหมด ความโดดเด่นที่สุดประการหนึ่งในผลงานภาพถ่ายของศิลปินถ่ายภาพท่านนี้ก็คือภาพในแนว Pictorial ซึ่งหมายถึงแนวภาพที่เน้นความสวยงามและเรื่องราว ดูแล้วติดตา ประทับใจ

"เทคนิคของผมก็ไม่มีอะไรมาก ก็อยู่ที่การเลือกเครื่องมืออุปกรณ์ให้ดี จริงๆ แล้วกล้องอะไรก็ถ่ายรูปให้สวยได้ครับ ขึ้นอยู่กับมุมมองเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นงานสำคัญที่คุณพลาดไม่ได้เลย อุปกรณ์ช่วยได้เยอะ สมัยก่อนเวลาเราถ่ายรูป เราต้องเรียนรู้เรื่องเทคนิค วัดแสงต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก่อนผมไปบรรยายเรื่องการวัดแสง ผมบอกว่าจะวัดแสงให้แม่นยำต้องทำอย่างนี้ๆ แต่หลังๆ ผมไปบรรยาย ผมจะบอกว่าไม่ต้องเลยนะ ถ่ายไปเลย มีคนยกมือประท้วงผมเต็มเลย แต่ก่อนคุณบรรยายคุณบอกว่าต้องสนใจเรื่องเทคนิคมากๆเลยนะ แต่ตอนนี้ทำไมคุณพูดอย่างนี้ ผมบอก ใช่ แต่นี่มันผ่านมา ๑๐ ปีแล้วนะ แต่ก่อนกล้องตัว ๒๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้กล้องตัวละ ๕๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ คุณซื้อกล้องแพงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ใช้มันอีกหรือ ตอนนี้มันเก่งพอแล้ว กล้องมันฉลาดกว่าคนแล้ว ทำไมเราต้องย้อนกลับไปที่เทคนิคล่ะ ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ กล้องทำให้เรา ส่วนที่เหลือผมก็เอามาบอกคุณหมดแล้ว ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการถ่ายรูปก็ คือ ดูจังหวะให้ดี ต้องคิดล่วงหน้า บางทีมุมนี้ไม่ได้ ก็วิ่งไปอีกหน่อย อย่างตอนที่ถ่ายภาพพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารครูปนี้ ช่างภาพตั้งขาตั้งกันเต็มเลย เพราะมืดแล้ว ผมเดินไปถึงก็...แชะ แล้วก็แชะอีก พวกที่ตั้งขาตั้งบอกว่า พี่เดโช ไม่ใช้ขาตั้งเหรอ มือเที่ยงขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็บอกว่าใช้ทำไม เรือไม่ได้อยู่นิ่ง สปีดตั้ง ๖๐ มือคุณถือไม่ได้เหรอ แต่รูปนี้ถ่ายยากนะครับ คุณดูช่องไฟ ช่องไฟต้องลงพอดี ถ้าหัวเรือไปลงที่มืด มันก็ไม่เห็นหัวเรือ ทุกอย่างต้องคิดและวางแผนก่อนที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรารอให้เรือมาถึงตรงนี้ก็ถ่ายไม่ทันแล้ว มันต้องไม่ใช้ขาตั้ง พอผมคอมเมนท์ ทุกคนเก็บหมดเลย ผมบอก เก็บทำไม (หัวเราะ) อีกอย่าง ผมไม่ใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อป โฟโต้ช็อปเป็นโปรแกรมที่อันตรายเพราะว่าทุกอย่างที่คุณทำขึ้นมา บางครั้งมันเกินจากที่ของจริงมันมีอยู่ มันเป็นของไม่จริง เพราะฉะนั้นผมจะไม่ใช้เลย"

นอกจากความสามารถในด้านการถ่ายภาพแล้ว ช่างภาพมืออาชีพท่านนี้ยังสวมหมวกอีกใบหนึ่งในฐานะเจ้าของธุรกิจถ่ายภาพที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายภาพหลายสิบยี่ห้อภายใต้ชื่อบริษัทโฟโต้ ซีสเทมส์ จำกัด บริษัทอิมเมจ ซีสเทมส์ จำกัด และบริษัทแอดวานซ์ โฟโต้ ซีสเทมส์ จำกัด แม้ว่าจะมีภารกิจมากมายในการทำงานแต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิบัติอยู่สม่ำเสมอคือการออกไปร่วมกิจกรรมถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มเพื่อนรู้ใจ

"เวลาไปถ่ายรูปในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะประมาณ ๗-๑๐ วัน ข้อสำคัญคือเราต้องมีกลุ่มถ่ายรูปที่ถูกใจกันพอสมควร ไม่กั๊กกันเอง ไม่เห็นแก่ตัว ไปกับคนที่เป็นเพื่อนเราได้ ผมว่าเวลาไปถ่ายรูป ไปคนเดียวหรือสองคนมันเหงาน่ะครับ แต่ถ้าไปกันหลายคนมันก็จะได้ไอเดียที่แปลกแตกต่างไป

วิธีการทำงานของเราก็คือวางแผนก่อนว่าจะไปฤดูไหน อากาศช่วงไหนดีที่สุด คือไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป ก่อนไปเราก็ต้องศึกษาว่าแสงสวยประมาณกี่โมง การถ่ายรูป ไม่เหมือนวาดภาพ การวาดภาพนี่ถ้าเราไม่ชอบตรงไหนเราก็ตัดออกไปได้ ส่วนไหนเราชอบเราก็เน้นเข้าไป แต่การถ่ายภาพ เห็นปั๊บ ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายไว้ ก็ผ่านไปแล้ว ถ้าคุณเห็นภาพนั้นด้วยตาเปล่าแล้วแปลว่าคุณไม่ได้ถ่ายแล้ว
ผมเป็นคนที่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า ผมเป็นคนมีความอดทนต่ำมากเลย ผมไม่ชอบถ่ายรูปธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง อย่างเขาไปซุ่มโป่ง ถ่ายรูปนก เฝ้ารังนกรังหนึ่ง แล้วก็รอถ่ายเวลานกป้อนอาหารลูก อย่างนี้ผมไม่เอาเลย แต่ถ้านกบินผ่านผม ผมถ่ายทัน แต่ถ้าไปซุ่ม ผมไม่เอา ผมบอก คนไหนถ่ายเก่งก็ถ่ายไป ผมไม่เอา แต่ถ้าไปสถานที่ซ้ำ ไปได้ เพราะทุกครั้งที่ไปผมก็จะหามุมมองใหม่ถ่าย แต่ถ้าให้ไปถ่ายอะไรที่ไม่เคลื่อนไหวเลย ไม่เอา หรือแม้แต่เวลาที่ผมถ่ายรูปคน ผมก็ถ่ายเสร็จเร็วมาก คุณเห็นผมถ่ายแล้วคุณจะกลุ้มใจ ไปถึงก็แชะ แชะ เรียกว่าผมถ่ายรูปหาเงินไม่ได้นะครับ ลูกน้องผมยังบอกเลย"

การถ่ายภาพบุคคลครั้งหนึ่งในชีวิตที่นับว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงก็คือ
การได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เดินทางไปฉายพระรูป เจ้าชายจิกมี นัมเกล วังชุก ที่ราชอาณาจักรภูฏานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา


"พระองค์ท่านมีพระราชอัธยาศัยที่ดีมาก แต่ปัญหามีอยู่ว่ามีช่างภาพไปถ่ายภาพพระองค์ท่านหลายคน แต่พระองค์ไม่โปรดถ่ายรูป แต่รูปต้องใช้เพราะต้องใช้ในการทำแสตมป์ ทำธนบัตร เพราะว่าเปลี่ยนกษัตริย์ และปีหน้าก็จะทรงมีพิธีบรมราชาภิเษก ตามกำหนดการเราจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อฉายพระรูปแค่ครั้งเดียว เพราะว่าราชเลขาฯบอกว่าจะมีโอกาสฉายพระรูปครั้งเดียวเท่านั้น แต่พอได้เข้าเฝ้า พระองค์ท่านมีพระราชอัธยาศัยที่ดีมาก เราก็ฉายพระรูปพระองค์ท่านแบบสบายๆ ให้พระองค์ท่านทำพระองค์ตามสบาย แล้วเราก็จับจังหวะเอาเอง บางครั้งก็ทูลขอให้ทรงย้ายมาประทับตรงนี้ได้ไหมเพราะแสงสวยกว่า ก็ทรงย้ายมา พอประทับปั๊บ พระองค์ท่านก็ยังมีรับสั่งกับเราอยู่เลย เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ พอถ่ายวันแรกเสร็จ รับสั่งชมว่ายูนี่ถ่ายรูปสนุกนะ ถ่ายรูปง่าย ไม่รู้เลยว่ายูถ่ายรูปอยู่ เราก็ถวายรูปให้ทอดพระเนตร ตามกำหนดการเราไปทั้งหมด ๕ วัน วันฉายพระรูปวันแรก ที่เหลือคือเที่ยว ไปๆมาๆ เราไปฉายพระรูปทั้ง ๕ วันเลย ทั้งเช้าทั้งเย็น พอฉายพระรูปเสร็จแล้ว เราก็กราบพระบาทท่าน กราบกับพื้น แล้วทูลว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมได้ฉายพระรูปถวายหมดแล้ว ท่านก็ตรัสอย่างสนุกสนานว่า It's my turn ทรงถ่ายภาพทีมงานเรา เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ท่านโปรดการถ่ายภาพ เป็นเรื่องที่ผมประทับใจมาก"

ยิ่งไปกว่านั้น การทำหน้าที่ช่างภาพที่น้อยคนจะมีโอกาสได้รับและถือเป็นเกียรติสูงสุดของ เดโช บูรณบรรพต ก็คือการได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทในการติดตามบันทึกภาพพระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบัน

"ทุกครั้งเวลาที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศ จะมีช่างภาพไปคนเดียว เมื่อมีคนเดียว ถ้าคุณถ่ายเสีย ก็เสียเลย ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องไม่ให้ภาพเสีย ต้องไม่ให้พลาด อุปกรณ์ทุกอย่างต้องเตรียมให้ดี สมัยที่ยังใช้ฟิล์ม ใช้ประมาณ ๔๐๐ ม้วน พอใช้กล้องดิจิทัลจะใช้ประมาณ ๑๖๐ กว่ากิกกะไบต์ นอกจากไม่ให้พลาดแล้วก็ต้องไม่ทำตัวเด่น การเก็บภาพทุกอย่างเราต้องนิ่งพอ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีข้อจำกัดอะไรมาก แล้วแต่พิธีทางการทูตของแต่ละประเทศซึ่งเขาจะอนุญาตให้เราเข้าได้หรือเข้าไม่ได้ยังไง อันไหนถ่ายได้ถ่ายไม่ได้ เขาก็จะมีกฎของเขาอยู่ ซึ่งพระองค์ท่านก็จะรับสั่งเสมอว่าถ่ายภาพเท่าที่ได้ ไม่ใช่ว่าเราตามเสด็จแล้วเราต้องได้พิเศษกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นความสามารถที่ว่าจะได้รูปที่พิเศษหรือไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราแล้ว การตามเสด็จ เราต้องถ่ายภาพทุกอย่าง ถ่ายภาพพระองค์ท่าน ถ่ายให้สวย ถ่ายเรื่องราวต่างๆ ให้ครบ ถ่ายบรรยากาศรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์ท่านมีพระเมตตาสูงมากในการที่จะให้ข้าราชบริพารทุกคนได้มีโอกาส ได้ศึกษา ได้เห็นในสิ่งที่เราไม่มีโอกาสได้เห็น ความที่เป็นช่างภาพ เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ ที่ไหน เราก็ได้ตามเสด็จด้วย ผมเองเคยไปเที่ยวพระราชวังแวร์ซายส์มา ๓ ครั้ง แต่แวร์ซายส์ที่เราเคยเห็นกับแวร์ซายส์ที่เขาเปิดให้พระองค์ท่านทอดพระเนตร เหมือนไม่ใช่วังเดียวกัน เป็นโอกาสที่ดีมากครับ เพราะสถานที่นั้นเขาติดป้ายตั้งแต่ปากประตูแล้วว่าห้ามถ่ายรูป แต่ครั้งนั้นผมถ่ายภาพเกือบตลอดเวลา จนกระทั่งอุปกรณ์ทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผมต้องไปซื้อฟิล์มกับแบตเตอรี่ใหม่ พอกลับมาถึงโรงแรม ผมพบว่ามีแบตเตอรี่ AA อยู่ในตัวผม ๒๔ ก้อน ฟิล์มเบ็ดเสร็จแล้ว ๒๕ ม้วน เสื้อสูทของผม ข้างนอกก็ดูเรียบร้อยแต่ข้างในเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายชนิดที่ว่าคุณต่อยผมไม่โดนก็แล้วกัน โดนแต่ฟิล์ม" (หัวเราะ)

ในชีวิตการเป็นช่างภาพที่ผ่านมา เขาผ่านการกดชัตเตอร์มานับครั้งไม่ถ้วน มีผลงานภาพถ่ายจัดแสดงนิทรรศการสู่สายตาผู้ชมไปแล้วหลายร้อยรูป และล่าสุดคือนิทรรศการภาพถ่ายที่จัดขึ้นในงาน Paragon Electronica Showcase 2007 ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อถามถึงผลงานภาพถ่ายที่ภาคภูมิใจที่สุด คำตอบที่ได้รับคือ...

"ผมพูดเสมอว่าเราอย่ารักรูปของตัวเองมากเกินไป ถ้าเรารักรูปนี้ พอใจเป็นพิเศษกับรูปนี้ ก็เท่ากับงานของเราจบแล้ว เราไม่ก้าวหน้าแล้ว พอมีคนมาขอภาพไปจัดแสดง เราก็ให้แต่รูปชุดนี้เพราะเราภูมิใจมากเลย มีประโยชน์ไหมล่ะครับ บางทีผมว่ารูปนี้ผมชอบมาก แต่พอดูอีกสักพักก็เฉยๆ แล้วก็ไปถ่ายใหม่ ผมคิดว่าถ้าเรารักการถ่ายรูป เราถ่ายไปเรื่อยๆดีกว่า ถ้าเราภูมิใจหรือพอใจแล้ว งานของเราก็จะไม่ก้าวหน้า เหมือนกับที่ฝรั่งเขาพูดว่ารูปที่ดีที่สุดนี่คือรูปที่เรายังไม่ได้ถ่าย

...สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ถ้าเรายังมีแรงออกไปถ่ายรูปอยู่ อย่ามัวแต่งรูปอยู่เลยครับ ออกไปถ่ายรูปดีกว่า สนุกกว่า ได้ศึกษาชีวิตมากกว่า ได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรมากกว่าเยอะ บางคนถ่ายรูปมารูปหนึ่ง เกือบๆ ดี นั่งแต่งโฟโต้ช็อป แต่งอยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไรมันจะดีล่ะครับ ในเมื่อเริ่มต้นที่เกือบๆ ดี ก็ถ่ายให้ดี ศึกษาเทคนิคให้ดี แล้วถ่ายให้ดีตั้งแต่ต้น แล้วก็ไม่ต้องมานั่งแต่ง ผมก็คิดนะครับว่าวันหนึ่งผมอาจจะต้องใช้โฟโต้ช็อป แต่นั่นต้องเป็นเมื่อผมแก่จนเดินไปถ่ายรูปไม่ไหวแล้ว"


แม้จะมีผลงานการถ่ายภาพมาแล้วมากมาย และได้รับการกล่าวขวัญถึงความสำเร็จแต่ชีวิตทุกวันนี้ของ เดโช บูรณบรรพต ก็ยังคงมีความสุขกับถ่ายภาพ กับทัศนคติในการใช้ชีวิตที่น่าสนใจทีเดียว

"ผมยังชอบการถ่ายรูปอยู่ ถ้าเลิกชอบเมื่อไรก็ไม่ถ่าย แต่ตอนนี้ยังชอบอยู่ ชอบที่จะได้ไปอยู่ในที่ที่ เรา?ถ้าบอกให้เราไปเที่ยว เราก็คงไม่ไป แต่บางที่เห็นแล้วอยากไปถ่ายรูปนะ ไม่ได้อยากไปเที่ยว บางแห่งที่ผมเคยไป อย่างเมืองอาป้า ใกล้ๆกับทิเบต ตกลงกันเรียบร้อยว่าพักโรงแรมชั้นหนึ่ง ห้องน้ำดีหมด เพราะหลายคนก็กลัวเรื่องห้องน้ำ ปรากฏว่ามีปัญหาอย่างเดียวครับ ไม่มีน้ำ น้ำแข็งตัวหมดเพราะหนาวจัดแล้วเราก็อยู่แบบไม่มีน้ำ ๕ วันเต็มๆ ก็ไม่เห็นมีใครบ่น ทุกคนก็มีความสุขดี

ผมถืออย่างหนึ่งว่าถ้าหาเงินมาได้ แล้วมีโอกาสไปเที่ยวก็ไปซะ ผมเคยไปเที่ยวกับภรรยาที่สวิตเซอร์แลนด์ (The Matterhorn) ไปเที่ยวภูเขา ไปเจอผู้หญิงแก่คนหนึ่ง เป็นคนสวิส ถือไม้เท้ามา เราก็นั่งรถกระเช้าขึ้นไป ๓ ต่อ พอเปลี่ยนรถกระเช้าทีก็ช่วยพยุงแกเดิน พอขึ้นไปถึงขั้นสุดท้าย กำลังจะเข้าสถานี แกก็มองยอดเขา มันเด่นมาก สวยมาก แกบอกว่าแกพอใจที่สุดในชีวิตแล้วที่ได้มาที่นี่ แกสมหวังแล้ว แล้วก็คุยให้เราฟังว่าแกเก็บเงินมาตลอดเพื่อจะมาเที่ยวที่นี่ แต่แกก็ทำใจขึ้นมาไม่ได้สักทีเพราะค่ารถกระเช้ามันแพงมาก แค่กระเช้าขึ้นไปก็ประมาณ ๔-๕ พันบาท ตอนนั้นแฟนผมยังไม่ยอมขึ้นเลยนะครับ เขาบอกว่ายืนอยู่ตรงนี้ก็เห็น แต่ผมบอกว่ามันไม่เหมือนกันหรอก เราขึ้นไปดูข้างบน พอไปถึงสถานีข้างบน เราก็พาแกลง แกก็บอกว่าเหนื่อย จะไปนั่งพักที่เก้าอี้นั่นก่อนแล้วจะไปเดินดูสวน ผมก็บอกว่าผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ผมจะไปถ่ายดอกไม้ป่าทางนี้ ผมเดินห่างไปสัก ๒๐๐ เมตรได้ เสียงรถหวอมาเลยครับ ผมเดินกลับมาดูแก แกตายแล้วครับ

ผมเจอคนแก่เสียชีวิตวันนั้นแล้วผมรู้สึกว่าชีวิตมันก็แค่นี้ อย่างที่พระสวดน่ะถูกต้องแล้ว เห็นๆ กันอยู่เมื่อวาน วันนี้ก็ตายเสียแล้ว มันทำให้ผมไม่อยากยึดติดกับอะไรมากเกินไป ผมอาจจะตั้งเป้าชีวิตน้อยเกินไป แต่ถ้าผมย้อนกลับไปผมก็คงทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชีวิตนี้คุณอยากทำอะไร ทำเถอะ คุณไปเที่ยวตอนที่คุณยังมีแรง แล้วทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำ เพราะคุณไม่รู้ หรอกว่าอายุสุดท้ายของคุณคือเท่าไร"


ภาพถ่ายจากฝีมือของ เดโช บูรณบรรพต คือ งานเบื้องหน้าที่ปรากฏให้เราพบเห็นและชื่นชม และดูจะเป็นข้อบ่งชี้บางประการถึงช่างภาพผู้กดชัตเตอร์อยู่เบื้องหลังภาพถ่ายเหล่านี้ว่า นี่คือผลงานของคนที่ทำงานหนัก มีความมุ่งมั่นและชัดเจนในตัวตน ในเป้าหมายและในการใช้ชีวิต...เช่นเดียวกับภาพถ่ายของเขานั่นเอง

เขาทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยถ้อยคำเดียวกับในหนังสือ "My Digital Way, สาระภาพ สาระรูป" ที่พิมพ์ขึ้นในงานParagon Electronica Showcase 2007 ว่า

"ขอให้ยิ้มมาก ๆ แล้วสนุกกับการถ่ายภาพ นะครับ"


















Jan 13, 2008

วรธนัท อัศกุลโกวิท ปรมาจารย์ "ฮวงจุ้ย" 1 ใน 3 ของโลก

สกุณา ประยูรศุข
มติชน
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10900

เป็นเวลากว่า 30 ปีที่ "วรธนัท อัศกุลโกวิท" ได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาและทำฮวงจุ้ยให้แก่บริษัท ห้าง ร้าน ธนาคาร และสถานที่ราชการในต่างประเทศ ตั้งแต่ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย กระทั่งอังกฤษ และ แคนาดา ในวงการฮวงจุ้ยไม่มีใครไม่รู้จักอาจารย์วรธนัท
ในชื่อของ "มิสเตอร์หม่า"กระทั่งได้รับการยกย่องเป็น
*ปรมาจารย์แห่งวิชาฮวงจุ้ย*
สำหรับในประเทศไทย "วิชาฮวงจุ้ย" ของอาจารย์ผู้นี้เพิ่งนำมาเผยแพร่ได้ 9 ปีเท่านั้น โดยการเปิดสอนฟรี! ให้กับคนสนใจทั่วไป เป็นชมรมอยู่ย่านเมืองนนทบุรี การสอนแบบนี้อาจารย์บอกว่าเป็นการทำบุญ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของวิชาฮวงจุ้ย

ชื่อ "วรธนัท" เป็นชื่อใหม่ที่เปลี่ยนมาจากชื่อเดิม "ณรงค์" สาเหตุที่เปลี่ยนเพราะอาจารย์ที่พม่าให้เปลี่ยนเพราะชีวิตจะดีกว่าเดิม "วรธนัท" แปลว่า ผู้ร่ำรวยมหาศาล เปลี่ยนใช้ชื่อนี้มาได้ 4 ปีแล้ว"เอ็นเนอยี่ คอมเพล็กซ์" เป็นอาคารแห่งแรกที่อาจารย์วรธนัทใช้วิชาฮวงจุ้ยช่วยในการก่อสร้างและตกแต่งภายในทุกขั้นตอน ซึ่งผลที่ออกมาสร้างความเชื่อถือให้แก่อาจารย์อย่างมาก
จากนั้นทั้งสนามม้านางเลิ้ง ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม ตึกใหม่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) แล้วยังสนามบินสุวรรณภูมิ ล้วนเป็นฝีมือการทำฮวงจุ้ยของอาจารย์ทั้งนั้น

อาจารย์วรธนัท เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2484 ปัจจุบันอายุ 68 ปี แต่ยังดูเหมือนคนอายุ 40 กว่า รวมทั้งแต่งงานมีครอบครัว ลูกๆ โตหมดแล้วการศึกษา
นอกจากวิชาฮวงจุ้ย อาจารย์จบวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ทุกวันนี้ทำหน้าที่พิเศษเป็นที่ปรึกษาและไขฮวงจุ้ยให้กับบริษัทการบินไทย บริษัทซีพี และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของกรมพลังงานแห่งชาติเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้อยู่ที่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน
อาจารย์วรธนัทเองก็บอกว่า "มันเป็นเรื่องบุญกรรมและวาสนาของแต่ละคน"

- พื้นเพครอบครัวเป็นคนที่ไหน?
เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี บ้านอยู่ในตัวเมือง ถ้าจะพูดเรื่องนี้คงต้องใช้เวลา 60 ปีถึงจะเล่าจบ (หัวเราะ)เอาเป็นว่า..ที่บ้านพ่อเป็นลูกเจ้าของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งที่จีน มาเปิดสาขาที่เมืองไทยแล้วไปตั้งสาขาที่เพชรบุรีด้วย พ่อไปเจอแม่ที่นั่น แม่เองก็เป็นลูกคนจีน พ่อและแม่เลยแต่งงานกัน อยู่กินที่เพชรบุรี มีลูกทั้งหมด 11 คน แต่ตายหมด เหลือผมซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว

- แล้วไปศึกษาวิชาฮวงจุ้ยมาจากไหน?
ตระกูลผมเป็นคนเซี่ยงไฮ้ ศึกษาวิชาฮวงจุ้ยแบบถ่ายทอดกันมา ..คือ ตอนสมัยสงครามที่จีนแดงบุก
คุณปู่เป็นทหารในระดับจอมพลคนหนึ่งของเจียง ไค เช็ค คุณปู่เขาเป็นทหารเลยรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็บอกให้ลูกหลานอพยพไปยังที่ต่างๆ
บางคนไปอยู่อเมริกา บางคนไปอยู่อังกฤษ บางคนไปอยู่มาเลเซีย
ส่วนสายของผมมาอยู่ที่เมืองไทย ผมจึงเกิดและเติบโตในประเทศไทย
คุณปู่เป็นผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยที่เรียกว่า "เต๋าหมวกดำ" เป็นอย่างดี
ซึ่งศาสตร์ฮวงจุ้ยเต๋าหมวกดำนี้ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง
และจะถ่ายทอดเฉพาะจักรพรรดิและขุนนางจีนชั้นสูงเท่านั้นคุณปู่ถ่ายทอดวิชาให้คุณพ่อ
ผมได้รับการถ่ายทอดจากคุณพ่ออีกที และตัวผมเองเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศจีนบ้าง ทิเบตบ้าง อินเดียบ้าง เป็นเวลานานกว่า 30 ปี และยังได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมทั้งในพม่า มอญ เขมร รวมถึงศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติและพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ

- เคยเรียนหนังสือไทยไหม?
เรียนครับ แต่เรียนช้า เป็นโรงเรียนชั้นประถมที่เพชรบุรี จำชื่อโรงเรียนไม่ได้แล้ว ผมเรียนไปเรื่อยๆ จนอายุ 13 จึงมาเรียนเรื่อง "พลัง" ทีนี้ไปเรียนต่างประเทศเลย ไปตั้งหลักที่ฮ่องกงกับจีน แม่ไปด้วยแต่ไม่ได้ทิ้งการเรียนที่เมืองไทยนะ คือจะใช้ช่วงเวลาปิดเทอมไปเรียน
คือ..ผมเป็นคนที่ความจำดีเรียนที่เมืองไทยไม่ต้องท่องหนังสือเยอะ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นทุกปิดเทอมจะไปเรียนเรื่องพวกนี้ที่ต่างประเทศ แต่หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ยาวเลย ไปอยู่ฮ่องกงไปเรียนวิชาฮวงจุ้ย เพราะมีญาติอยู่ที่นั่น จากนั้นไปต่อที่กวางตุ้ง แล้วไปปักกิ่ง เรียนวิชาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของพลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน รำมวย ฝังเข็ม อะไรที่เป็นศาสตร์เกี่ยวกับพลัง เรียนหมด

- ชอบเรื่องพวกนี้?
ชอบ และไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เรื่องสมาธิก็เรียนมาตั้งแต่เด็กเพราะลุงชอบพาไปวัด มีอยู่วันไปเห็นหลวงปู่ทวด (วัดช้างให้) ถ้าพูดไปจะหาว่าเว่อร์ ผมศรัทธาหลวงปู่ทวดมาก ก็ทุบกระปุกเอาสตังค์ไปเช่ามา ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด 25 บาท ก็บูชามาแล้วเลียนท่านั่งสมาธิของท่านเวลาทำสมาธิ สักวันสองวันก็เกิดนิมิตว่าท่านมาสอนเรื่องสมาธิ

- มีเหตุอะไรทำให้เชื่อเรื่องพวกนี้
เยอะแยะ เช่นทุกครั้งที่นึกถึงจะมีกลิ่นหอมลอยมา กลิ่นหอมที่บอกไม่ถูก ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ธูปเทียนแน่นอน

- ที่ว่าไปตั้งหลักที่ฮ่องกง-ยังไง?
ก็ไปเรียนวิชาฮวงจุ้ย เริ่มจากเรียนกับญาติก่อน แล้วเขาก็พาไปตระเวนเรียนกับอาจารย์ที่ความรู้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามหาอาจารย์ไปเรื่อยๆพออายุสัก 18-19 ค่อยเริ่มเดินทางไปทิเบต ในแวดวงเขาจะรู้กันว่าถ้าเรื่องจิตเรื่องพลัง เรื่องเวทมนตร์ ต้องไปทิเบต
เพราะสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่โน่นทำให้คนจิตเข้มแข็ง

- ตอนนั้น (ไปทิเบต) เริ่มมีชื่อเสียงหรือยัง?
ยังครับ ตอนนั้นอายุ 18-19 เอง มาเริ่มมีชื่อเสียงประมาณ 25 แต่ความจริงตอนสิบแปดสิบเก้าก็ทำได้หมดแล้ว แต่คิดว่าเราต้องหาประสบการณ์ต่อ เรื่องพวกนี้มันไม่ตายตัว ไม่ได้เป็นสถาบัน เราต้องสืบเองว่าที่ไหนมีคนเก่งก็ตามไปเรียน วิชาพวกนี้บางทีมันแปลกกว่าอย่างอื่น บางทีมันอยู่ในชาวบ้านธรรมดา บางทีอยู่กับพระ เราก็ไปสมัครไปขอเรียน ถ้าถูกอัธยาศัย เขาก็ให้

- ใช้เวลาเรียนทั้งหมดกี่ปีถึงบรรลุ
ไม่มี เรียนตลอด ปัจจุบันก็ยังเดินทางไปตามหาวิชา ตามหาที่เรียนอยู่ ถ้ามีที่ไหนก็ไปทดสอบดูว่าน่าสนใจไหม

- มีชื่อเสียงครั้งแรกเลยเป็นเรื่องอะไร--พลังจิตรักษาคนหรือทำฮวงจุ้ย?
โห...จำไม่ได้แล้ว วันๆ หนึ่งคนมาหา 300 คน จะให้จำได้ยังไง มีมาทุกเรื่องเลย..ตั้งแต่เรื่องฮวงจุ้ย เรื่องปราบผี เรื่องเจ็บป่วย คนหาย ฯลฯ

- แล้วเป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงได้ยังไง?
แบบปากต่อปาก คนเดือดร้อนมาหาเราช่วยเขาได้ ก็บอกต่อๆ กันไป คนก็มากันเรื่อยๆ
- แล้วที่ว่ามีชื่อเสียงระดับอินเตอร์ทำฮวงจุ้ยให้ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา
มันเริ่มจากญาติที่ฮ่องกงและที่จีนก่อน บรรดาญาติของผมเขาเป็นหมอฮวงจุ้ยที่อยู่ในวงการของดารา นักการเมือง ตั้งแต่สมัย ชอว์ บราเดอร์ โน่น เวลาเราไปเขาจะแนะนำให้เรารู้จัก ให้เราทำ พอทำสำเร็จก็บอกต่อๆ กัน แพร่ขยายมาถึงเมืองไทย มีดาราคนไทย นักการเมืองคนไทย มาขอความช่วยเหลือ แล้วพอทำสำเร็จได้ผลดี เขาก็เอาไปพูดต่อกันไป

- ค่าใช้จ่ายแพงไหม?
ไม่มี ฟรีหมด คือถ้าคุณสำเร็จวิชาทำฮวงจุ้ย เวลาคุณทำฮวงจุ้ย
- ฮวงจุ้ยสามารถทำให้คนมีกินมีใช้ ฉะนั้นฐานะครอบครัวก็ดีขึ้นตามลำดับ การทำให้คนอื่นถือว่าทำบุญ คนมาขอความช่วยเหลือก็ช่วยไป ถือว่าทำบุญกับคนไทยด้วยกันแต่ถ้าไปทำให้ต่างประเทศ..ขอโทษค่าตัวผมวันละล้าน คนไทยสู้ไหวไหม?
คือ..มันเป็นค่าตัวมาตรฐานเมืองนอก อย่างฮ่องกงนี่มาตรฐานเขา 3 ชั่วโมง 80,000 เหรียญ ถ้าผมอยู่ต่างประเทศก็ถือว่าทำเป็นอาชีพนะ แต่ถ้ามาทำในประเทศไทย เช่น ทำเนียบรัฐบาล สภา สนามม้า สนามบินสุวรรณภูมิ อันนี้ฟรี! ไม่ได้สักแดง
เพราะถือว่าทำบุญ แต่ถ้าเป็นเอกชนไม่ฟรีนะครับ เพราะเราเอาเงินไปช่วยคนต่อ เอาเงินใส่ซองไปสร้างสะพาน สร้างวัดเวลานี้ผมทำฮวงจุ้ยให้ที่ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นหลัก เพราะที่นั่นมีกฎว่า 3 ชั่วโมง 80,000 เหรียญ หรือราว 400,000 บาท นอกนั้นมีไปทำที่ลาสเวกัส ไปทำให้กาสิโน

- ทำไมได้ยินมาว่าใครทำฮวงจุ้ยกับอาจารย์แพงมาก?
ฮวงจุ้ยประเทศไทย กับฮวงจุ้ยของผมไม่เหมือนกัน ฮวงจุ้ยของผมจะเป็นฮวงจุ้ยของพระมหากษัตริย์ แต่ฮวงจุ้ยของประเทศไทยจะเป็นฮวงจุ้ยชาวบ้าน ฉะนั้นเทคนิคและรายละเอียดในการทำไม่เหมือนกัน ที่เราทำส่วนใหญ่เราทำฮวงจุ้ยให้กับบุคคลระดับที่จะต้องปกครองคน
อีกอย่าง--เราพูดไปว่าถ้าคุณจะทำฮวงจุ้ยเพื่ออยากมีเงินสิบล้านยี่สิบล้าน คุณต้องทำเคล็ดแก้หลายแสน สำหรับคนไทยพอบอกว่าต้องเสียเงินหลายแสนเขาก็ไม่เอาแล้ว คืออยากจะได้เยอะๆ แต่ไม่ยอมเสีย แค่ไปซื้อหัวเสือมาแปะก็พอแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะฮวงจุ้ยจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราเห็นกันอยู่ เช่น แขวนหัวเสือ แขวนกระดิ่งลม ไม่ใช่

- ฮวงจุ้ยของประเทศไทยไม่ดีตรงไหน?
โห.. อยากรู้ไปอ่านหนังสือที่ผมเขียนไว้ คือผมเป็นคนทำฮวงจุ้ยให้รัฐบาลตอนมีปัญหา ช่วงนั้นถ้าจำได้นักข่าวถามทุกวันเลยว่า พล.อ.สนธิ ประธาน คมช.จะลาออกหรือไม่ลาออก แล้วเป็นช่วงที่ นปก. พีทีวี ออกมาเคลื่อนไหว เป็นปัญหามาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำงานกัน ผมเลยขอเข้าไปทำฮวงจุ้ยให้ส่วนมากผมจะทำให้หน่วยราชการเป็นหลัก
นอกจากทำเนียบ ก็มีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามม้านางเลิ้ง กระทรวงการคลัง ที่ผ่านมาการเงินของประเทศแย่เพราะตึกเป็นรูปเอ็กซ์ครอส (กากบาท) ทำให้การเงินไทยขึ้นๆ ลงๆ ผมยังทำให้กรมพลังงานแห่งชาติ ที่กำลังสร้างอยู่ตรงสวนรถไฟ ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้นนายกฯทักษิณเขาจะทำสนามบินให้เสร็จเพื่อประกาศความสำเร็จ
แต่จะทำยังไงงานก็ไม่เดิน มีปัญหาในนั้นทุกหน่วยงาน แก้ไม่ตก ผมก็ไปแก้ให้ คือไซต์งานที่นั่นใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นศูนย์สั่งงานทั้งหมด เขาเอาตู้คอนเทนเนอร์ไปตั้งรวมกลุ่มกัน หันไปทางทิศที่ทำงานไม่ได้ มันจึงติดขัดไปหมด เราเพียงแค่ไปยกตู้ขยับเท่านั้น 3 วันงานทุกอย่างเป็นไปตามเป้า หรือเรื่องปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม จำได้ไหม?
ผมก็ไปทำพิธีสลายให้ เราต้องหลบซ่อนทำพิธีเลยนะนั่น ยังมีอีก กองบัญชาการทหารสูงสุด สยามพารากอน โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช กาสิโนที่มาเก๊า ปอยเปต แม้แต่ที่มาเลเซีย ผมไปแก้ให้หมด ส่วนมากแล้วพวกนี้ผิดที่โครงสร้าง ซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือนกันหรือศาลหลักเมือง ที่สนามหลวง ในทางฮวงจุ้ยถือว่าสกปรก เพราะมีแต่คนไปกราบไหว้ ไปบนบาน ไม่มีใครไปทำความสะอาด ทั้งบ้านทั้งเมืองจึงเดือดร้อน เพราะศาลพระภูมิบ้านสกปรก เราก็ไปทำพิธีให้ เรื่องแบบนี้พูดไปคนไม่เข้าใจหรอก..

- การเมืองไทยปี 2551 เป็นอย่างไร?
ชาตินี้ทั้งชาติประเทศไทยไม่มีวันพ้นทุกข์ คนไทยรู้จักฮวงจุ้ยรึเปล่า ฮวงจุ้ยทำแล้วต้องดูแล อย่างที่ทำเนียบที่ทำไว้อยู่ถึงแค่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 ก็หมดฤทธิ์แล้วเพราะอะไร? คือฮวงจุ้ย ทุกปีมีการเคลื่อนย้าย ถ้าเราไม่ไปทำต่อมันก็หมด ที่บอกว่าปีนี้ทิศที่ไม่ดีคือทิศเหนือกับใต้ เพราะฉะนั้นฮวงจุ้ยก็ต้องเปลี่ยน

- ขั้นสูงสุดของศาสตร์แห่งพลังคืออะไร?
ไร้รูป ไร้นาม หมายถึงว่าทำเหมือนไม่ทำ คือทำได้ทุกอย่างแหละ แต่ทำเหมือนไม่ทำอธิบายยังไงดี
-- คือเรียนวิชาตอนแรกๆ คุณต้องจำกฎ ทฤษฎี เหมือนกับการหัดขับรถ เราก็ต้องดูเกียร์ เหยียบเบรก เหยียบคลัตช์ พอทำไปๆ ตั้งแต่เริ่มหัดขับกระทั่งสามารถไปถึงที่หมาย
โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าคุณทำอะไรไปบ้าง ซึ่งที่จบทั้งหมดแบบนี้มี 3 คนตามที่บอกไปแล้ว มีผมและอีก 2 คนที่อเมริกากับที่แคนาดา

- ได้ยินว่าตั้งโรงเรียนสอนวิชาฮวงจุ้ย
เป็นชมรมชื่อ "ชมรม ฟ้า ฝน ไฟ" เป็นธรรมชาติไง แต่จริงๆ แล้วเป็นชื่อกองทัพในสมัยโบราณของจีน เป็นกองทัพพิเศษที่รบให้ชนะโดยไม่ต้องรบ คือเป็นการรบแบบเงียบๆ เหมือนพวกคอมมานโด ไปน้อยคน แต่ให้ชนะ

- มีลูกศิษย์เท่าไหร่แล้ว
เป็นแสนครับ เขามากันเรื่อยๆ ใครอยากมาเรียนก็มา ใครไม่ว่างก็ไม่ต้องมา

- ถ้าจะให้อาจารย์ช่วยเหลือต้องทำยังไง?
ไปขึ้นคิวไว้ ตอนนี้คิวเต็มไปถึงเดือนมีนาคม 2551 แล้ว ตอนนี้ผมจะเน้นไปที่ทุกอย่างของชีวิต เพราะฮวงจุ้ยคือทุกอย่างของชีวิต ไม่ใช่เราบ้าฮวงจุ้ย แต่คำว่าฮวงจุ้ย-- ฮวง ก็คือลม จุ้ย คือน้ำ ทั้งหมดคือสภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัวที่สุด

- มีคนบอกว่าเป็นเรื่องแหกตา
..ก็แล้วแต่จะคิด คนมีโอกาสที่จะเข้าใกล้หรือไม่เข้าใกล้ ได้เห็นหรือไม่ได้เห็น ก็ต้องแล้วแต่ เราไม่ยุ่ง เราไม่สนใจ"ผมเองจะทำหน้าที่นี้ต่อไปอีก 12 ปีแล้วก็พัก ที่อยู่ทุกวันนี้อยู่เพื่อช่วยคน สวดมนต์ ไหว้พระ รักษาศีล ผมจะอยู่เท่าที่จะสามารถทำได้"

Jan 12, 2008

สมุดขบ : PRAPAS.COM


"สมุดขบ" ข้อคิด คำคม เกือบ100 ประโยค ในรูปแบบสมุดบันทึก
ที่คัดสรรจากผลงานเขียน

และการให้สัมภาษณ์ของ ‘ประภาส ชลศรานนท์’
"

The overgrown grasses in the backyard might be useless.
But for the ants, the clump of grasses produces oxygen for
thousands of them to
breathe.
"หญ้ารกๆ หลังบ้านอาจจะไร้ประโยชน์เหลือเกิน แต่สำหรับมดแล้ว
หญ้ารกๆ กอนั้นสามารถผลิตออกซิเจนไว้ให้มดเป็นพัน ๆ ตัวไว้ใช้ดมได้"


"แท่งดินสอทำให้เรามองเห็นว่าถึงแก่นจะสำคัญเพียงไร

แต่กระพี้นี่แหละเป็นตัวทำให้แก่นทำหน้าที่สำคัญลุล่วง"

Knowing oneself and recognizing oneself are the best medicine to cure loneliness
การรู้จักตัวเองและยอมรับตัวเองคือยารักษาความเหงาขนานดี

One does not study just to earn ones living. Learning,
in school or elsewhere, is not only for making a living,
but also for making it a good one.
คนเราไม่ได้เรียนวิชาเพื่อเอาไปประกอบอาชีพเพียงอย่างเดียว

การเรียนรู้ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่ไหน
นอกจากเอาไว้ประกอบอาชีพแล้วเราเรียนเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดีด้วย

Money and power do not change people. They just enlarge what already exists.
เงินและอำนาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงคน มันเพียงแต่ขยายสิ่งที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้น

Respect different ideas is the most important component of love
การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างนั่นแหละ เป็นส่วนประกอบอันสำคัญที่สุดของความรัก

When you claim,"I will achieve my dream" are you awake?
เวลาที่เราพูดว่า"เราจะทำให้ได้ดังฝัน"เราพูดตอนที่ตื่นอยู่หรือเปล่า


We tend to mess up our relationships

คนเราชอบทำซุ่มซ่ามกับสัมพันธภาพกันได้ง่ายๆ

มนุษย์เรานั้นเกิดมาจากศูนย์ และในที่สุดก็กลับไปหาศูนย์เหมือนกับเอกภพ ....

ทุกครั้งที่เราวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรานั่งลงเงียบๆ นิ่งทั้งกิริยาและนิ่งทั้งหัวใจ

ผีเสื้อแสนสวยจะโบยบินมาอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
ความสุขก็เป็นอย่างนั้น


ที่ใดก็ตามเมื่อมีการพิจารณา ที่นั่นก็ต้องการถกเถียงตามมาเป็นธรรมดา

ก็ด้วยจินตนาการตัวนี้นี่เอง มนุษย์จึงมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้ ไม่ได้เป็นสัตว์ขนยาวที่แอบอยู่ตามหลืบถ้ำอีกต่อไป


มนุษย์แต่ละคนมีสิ่งพิเศษในตัวเองที่คนอื่นไม่มี อย่างน้อยก็หนึ่งอย่างกับแทบทุกคน ...


Stamping other people to the ground on the basis of
racial differencesis just chidish.

Humans should respect others from the heart not by the race.
การเหยียบอีกฝ่ายหนึ่งให้จมโดยใช้ชาติพันธุ์มาแบ่งแยก
ยอมรักได้แค่เป็นความคิดของเด็กๆ เท่านั้น
มนุษย์น่าจะยอมรับนับถือมนุษย์ด้วยกัน
ที่ข้างในหัวใจมากกว่านับถือกันที่ชาติพันธุ์


คนที่ฉลาด...คือคนที่รู้ว่าเขาควรจะแสดงความฉลาดออกมาเวลาใด

A half-truth is a whole lie.
พูดความจริงครึ่งเดียว ก็คือการโกหกทั้งหมด

"มีแต่ความดีเท่านั้นแหล่ะครับ ที่มนุษย์ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น"
"It is only the virtuousness that differentiates

human beings from other creatures."

"เพราะมนุษย์เกิดมาจากธรรมชาติ ยิ่งเรากลับไปหามันมากเท่าไหร่

ก็เท่ากับเรากลับเข้าไปใกล้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น"
"Human beings come from nature. The more we get back to it,

the closer we get ourselves."

"สงครามของมนุษยชาติ ก็เกิดจากไม้บรรทัดคนละอันทั้งนั้น"
"Human wars all stem from clinging to different yardsticks."

There are seasons in human life.
We cannot force the season to change at will.
For those so imbedded in sorrow,
if they come to realize that human life does not have

only one side or one season,
they might be able to deal with the sorrow
and be prepared to face the different seasons in life.

ชีวิตมนุษย์ก็มีฤดูกาล เราไม่สามารถบังคับให้เกิดฤดูกาลได้ตามใจเรา สำหรับคนที่ทุกข์ตรมอย่างแสนสาหัส ถ้าคิดได้อย่างนี้ว่า ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีด้านเดียว ไม่ได้มีฤดูเดียว บางทีเราอาจจะทำใจและเตรียมใจสู้กับฤดูกาลของชีวิตแต่ละฤดูได้

Do your best with whatever in your hands, and forget about what out of reach.

สิ่งที่อยู่ในมือเรา จงทำมันให้เต็มที่
สิ่งที่อยู่นอกมือเรา อย่าไปยุ่งกับมัน

Unsolvable puzzles and problems may come from self-created illusions.

บางครั้งสถานการณ์หรือปัญหาที่เราเห็นว่าแก้ไม่ได้ มันอาจจะเกิดจากภาพลวงตาของเราเอง

คนเราสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะใช้มันเป็นวิชาชีพหรือไม่ก็ตาม

การทำงานด้วยความชอบอย่างเดียวนั้นไม่พอ
ต้องหลงมันชนิดโงหัวไม่ขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างงานชนิดเปลี่ยนโลกได้

ถ้าเราทำสิ่งที่เรารัก เราจะอยู่กับมันได้นาน....
หรือถึงแม้จะรักในงานที่ทำก็อาจจะไม่เพียงพอ แต่เราต้องถึงขั้นคลั่งไคล้มันเลยล่ะ...

"ศรัทธา ทัศนคติมนุษย์เราทำอะไรก็ได้ ถ้าทำด้วยศรัทธาละก็
มันจะมีพลังมหาศาล ไม่คิดถึงตัวเอง ไม่คิดว่าคุ้มไม่คุ้ม
อย่าไปบวกลบคูณหาร ไม่ว่าจะเรื่องเวลา เรื่องเงินทอง เรื่องเเรงกาย
ซึ่งมันเหมือนคนจิตว่าง มันเป้นการทำเพื่อธรรม
ไม่ใช่ทำเพื่อทอง ทำเพื่อทน หรือทำเพื่อเท่
ศรัทธาจะเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เราเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนทัศนคติดีๆมันจะควบคุมพลังอันมหาศาลของตัวศรัทธาได้"

"คนเราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น มันเป็นสิ่งให้เรายึดไว้
ทำให้ตัวเองมีคุณค่ากับคนอื่น มีเราอยู่แล้วคนอื่นดีขึ้น"

@ ทุกครั้งที่เราวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป...
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรา นั่งลงเงียบๆ นิ่งทั้งกริยา นิ่งทั้งหัวใจ...
ผีเสื้อแสนสวยจะโบยบินมาอยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ...ความสุขก็เป็นอย่างนั้น...

@ ทุกคนมีเส้นรอบวง ของตัวเอง มีโลกของตัวเอง
มีหัวใจของตัวเองที่จะตัดสินใจว่า จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยว ขวา เดินหน้าถอยหลัง ...

@ หนังสือ...เป็นเครื่องมือการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์

@ ผู้ชายมักจะเฮงซวยกับเรื่องความละเอียดอ่อนของความรักเสมอ
คำว่าเฮงซวยหมายถึง อาการที่ไม่ค่อยจะละเอียดอ่อนของความรู้สึกของผู้หญิง

@ ได้ยินดนตรีด้วยหัวใจ ได้ยินความเงียบด้วยสมอง

@ บางทีคนเรามองเป้าหมายของชีวิตเป็นรูปธรรมมากไป
จนละเลยความสุขและความฝันที่อยู่ระหว่างทาง

@ คนเราชอบทำซุ่มซ่ามกับสัมพันธภาพกันได้ง่ายๆ

@ หาศรัทธาตัวเองให้เจอและทำงานด้วยศรัทธานั้น

@ ความรักน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต

@ คนเรานั้นสิ่งใดก็ตามที่ทำด้วยความรักมันมักจะได้ผลดีเสมอ

@ เด็กทุกคนเป็นเหมือนผ้าขาว แต่เป็นผ้าขาวคนละเนื้อ
แต่ละคนซึมซับสีสันที่เราแต่งแต้มลงไปได้ไม่เหมือนกัน
เรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน เก่งได้ไม่เท่ากัน
ตามลักษณะของเนื้อผ้าแต่ทุกคนเป็นคนดีได้เท่ากัน


คำว่า LISTEN กับ SILENT มีตัวอักษรเหมือนกัน
แต่สะกด และมีความหมายต่างกัน

"Discover your own faith and work with that faith.

หาศรัทธาของตัวเองให้เจอ และทำงานด้วยศรัทธานั้น"

Too much anxiety about what has yet to happen
is like high electrical resistance.
Too much of it in the circuit dims the bulbs.


when you love someone when you love someone so much, you would feel yourself smaller than your beloved.

In turn,if you are loved so much,you would feel yourself bigger
เวลาที่เรารักใครมากๆนั้นตัวเราจะเล็กลงเมื่อเทียบกับคนที่เรารัก
และเวลาที่เราถูกใครสักคนรักมากๆตัวเราก็จะใหญ่ขึ้นเช่นกัน

"Does a hero need a uniform?"
"ยอดมนุษย์จำเป็นต้องใส่เครื่องแบบด้วยหรือ?"



จาก...สมุด"ขบ"-ประภาส ชลศรานนท์
เขียนโดย ประภาส ชลศรานนท์
พิมพ์ที่ เวิร์คพอยท์
พิมพ์ปี 2550
320 หน้า
น้ำหนัก 310 กรัม
ราคา 170 บาท