Custom Search

Feb 12, 2007

โจ มณฑานี ตันติสุข :ชีวิตใหม่ผ่าน"ทุกข์"จนพบ"สุข"ทางการเงิน

กรุงเทพธุรกิจ BIZ WEEK

"โจ..มณฑานี ตันติสุข" กับชีวิตใหม่ ผ่าน "ทุกข์" จนพบ "สุข"
ทางการเงินจากคนที่เคยล้มเหลวในชีวิตการเงินอย่าง "รุนแรง"
จนถึงขั้นขึ้นศาลเพราะถูกฟ้องร้อง
และเกือบล้มละลายจากหนี้สินล้นพ้นตัวแต่วันนี้ชีวิตใหม่ของ...
"โจ" มณฑานี ตันติสุข ดีเจรายการวิทยุ
พิธีกรรายการ
นักวิจารณ์ภาพยนตร์
นักเขียนเรื่องสั้นแนวไซไฟ
ล่าสุดเป็นผู้เขียนหนังสือ
"เงิน..เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน"
..กำลังแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงสู่อนาคตอันสดใส
และมั่งคั่งยั่งยืนทางการเงินเธอเล่าว่า
จุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงินของตัวเองปะทุขึ้น
หลังจากเจอวิกฤติเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัวผล
จากการตั้งบริษัทจัดคอนเสิร์ตครบวงจรซึ่งได้
นำนักร้องเกาหลีเข้ามาแสดงคอนเสิร์ตเป็นครั้งแรก
แต่กลับกลายเป็นว่าเกิดหนี้สินรุงรังตามมา
จนไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงานและไม่มีเงินผ่อนบ้าน
บัตรเครดิต จิปาถะ...
"ตอนนั้นมีภาระหนักต้องส่งค่าผ่อนบ้าน 4 หมื่นบาทต่อเดือน
แถมเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกเกือบแสน"

แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของโจเปลี่ยนแปลง
และหันมาสนใจ "แก้ปัญหา"การเงินอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ครั้งแรกเมื่อเกิดไฟไหม้บ้านจนหมดตัว
และอีกครั้งเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ซึนามิ เฉียดตาย !!
"ตอนนั้นไฟไหม้หมดตัว แต่ค้นพบว่าเหลือเพียงรองเท้า 200 คู่ที่ซื้อมา
นอกนั้นสิ่งอื่นๆ ไหม้หมด ก็คิดว่าจะซื้อมาทำบ้าอะไรไม่รู้
เอาไปขายก็ไม่ได้เอาไปช่วยตัวเองตอนไฟไหม้ก็ไม่ได้
นั่นทำให้หันมาเริ่มปรับปรุงชีวิตและการเงินตัวเอง
แต่ไม่สำเร็จจากนั้นสองปีต่อมาก็เกิดซึนามิ
รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ามาก ใช้ชีวิตไปวันๆ"
โจ บอกว่าส่วนหนึ่งของปัญหาของเธอเกิดจาก
การขาดการอบรมความรู้เรื่องการเงินโดยเฉพาะที่บ้านพ่อแม่ และครูที่โรงเรียน
ไม่ได้สอนการเงินให้แก่เด็ก
"พื้นฐานครอบครัวไม่ได้สอนให้รู้จักการวางแผนการเงินเลย
แม้จะเป็นเด็กที่หาเงินตั้งแต่เด็กรู้จักออมเงินและนำเงินมาช่วยพ่อแม่ยามวิกฤติ
แต่โตมาก็บริหารเงินไม่เป็นทั้งพ่อและแม่มีนิสัยใช้เงินเกินตัว
และซื้อความสบายก่อนนึกถึงอนาคตพ่อมีเงินเดือนหมื่นบาท
แต่ใช้สามหมื่นบาท ส่วนแม่เป็นข้าราชการใช้เงินเก่งมีหนี้บัตรเครดิต
มีมือถือสองเครื่องเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนดเพียงเพราะต้องการเอาบำเหน็จ
ได้เงินมา 5 แสนแต่ใช้หนี้ไป 4 แสน"

เมื่อรอดจากเหตุการณ์ซึนามิมาได้โจก็เริ่มเรียนรู้การเงิน
ด้วยตัวเองอย่างจริงจังผ่านเวบไซต์การเงินของต่างประเทศจนถ่องแท้
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาด้วยการเริ่มจากทำบันทึกการเงิน
ก็ทำให้โจค้นพบปัญหาการเงินของตัวเองและแนวทางแก้ไข
ซึ่งเหมือนกับ "ไฟส่องทาง" ให้แก่ตัวเธอ
เพื่อเป้าหมายล้างหนี้บ้านที่มีอยู่ 3.7 ล้านบาท
และหนี้บัตรเครดิตอีก 1.2แสนบาท
หลังจากเกิดปัญหาวิกฤติยุคไอเอ็มเอฟ
เธอก็ "หยุด" ผ่อนบ้านจนกระทั่งถูกธนาคาร
เป็นโจทก์ฟ้องร้องต้องขึ้นศาลพิพากษาคดีบ้านแนวทางการ "ปฏิวัติ"
นิสัยการเงินใหม่ของโจที่เธอต้องการเสนอแนะ
สำหรับผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นจาก "หลุมดำ" การเงิน 6 ข้อกล่าวคือ
หนึ่ง..แยกแยะให้ได้ระหว่าง "อยากได้" กับ"จำเป็น"
สอง..รู้สถานการณ์การเงินของคุณอย่างดี ทั้งตัวเลขในบัญชี ใบแจ้งหนี้ยอดชำระ เป็นต้น
สาม..ต้องเริ่มทำบันทึกการเงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกัน"เงินฉันหายไปไหน ?"
สี่..ให้รางวัลตัวเองด้วยการออม
ห้า..ฝึกนิสัย "มีเงินสดค่อยซื้อ"
หก..ทิ้งมนุษย์พิษที่บั่นทอนสุขภาพเงินของเราแต่ให้สะสมมนุษย์ยอดเยี่ยมเก็บไว้ส่วนการบริหารการเงิน
ส่วนตัวของ โจ-มณฑานี นั้นเธอใช้วิธีออมเงินแยกย่อยออกเป็น
"5 ขุมพลัง"
พลังแรก..บัญชีเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
หรือ บัญชีเงินฉุกเฉิน 6เดือนเพื่อใช้ในยามตกงานโจบอกว่า
เพราะงานที่ทำส่วนใหญ่เป็นงานฟรีแลนซ์
ทำให้มีรายได้ไม่แน่นอนดังนั้นทุกครั้งที่ได้เงินมาจะหักไว้ 10%
เป็นเงินออมส่วนนี้ไว้ก่อนทันทีเพื่อจ่ายให้ตัวเองก่อน(Pay yourself first)
เงินก้อนนี้เธอหักเก็บไว้ใน"ธนาคารกรุงเทพ"
โดยขณะนี้สำรองไว้ได้แล้ว 6 เดือนของรายได้
(ปัจจุบันโจมีรายได้จากหลายทางราวๆ 6 หมื่นบาทต่อเดือน)
"ตอนนี้ตัวเองมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนราว 4.4 หมื่นบาท
ก็จะนำหักรายได้ไว้10% เก็บไว้ในบัญชีนี้ก่อนเลยซึ่งตรงนี้
ก็ยังได้กินดอกเบี้ยช่วงที่เรายังไม่จำเป็นต้องเอาออกมาใช้
แรกๆก็เริ่มออมจาก 3 เดือนก่อน
พอออมครบ 3 เดือนก็ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 6 เดือน 12 เดือน"
พลังสอง..เงินฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด
หลังจากที่เริ่มออม 10%แล้ว ก็เริ่มออมเพิ่มเป็น 15%
โดยนำส่วนที่เพิ่มขึ้น 5%นี้ใส่ไว้ในบัญชีเงินค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
สำหรับค่าซ่อมแซมบ้านค่าหมอค่ายาเวลาป่วยกระทันหัน
ค่าภาษีย้อนหลังหากสรรพากรเรียกเก็บ
เป็นต้นซึ่งปัจจุบันเธอมีเงินเก็บส่วนนี้ไว้แล้ว 3 หมื่นบาท
ฝากไว้กับ"ธนาคารกรุงศรีอยุธยา"
พลังสาม..เงินประกันชีวิต และสุขภาพ
โจ บอกว่าบัญชีนี้เธอใช้วิธีกันเงินออมเพิ่มไว้อีก 5%
จากบัญชีที่สองที่เก็บไว้แล้ว15%
หากเมื่อใดที่เจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลจะได้ไม่เดือดร้อนเงินก้อน
และต้องมีเงินไว้ให้แม่
โดยปี ๆ หนึ่งจะกันเงินไว้จ่ายเป็นค่าประกันชีวิต 3หมื่นบาท
ซึ่งจะฝากไว้กับ "ธนาคารทหารไทย"
พลังสี่..เงินลงทุนเพื่องอกเงย และสร้างฝัน
"บัญชีนี้เป็นการออมเงินเพิ่มขึ้นจากสามบัญชี
คือเพิ่มจาก 20% เป็น 30%โดยเอาเงิน 10% ที่เพิ่มขึ้นนี้
ไปฝากไว้ในบัญชีเพื่อการลงทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์"
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาออมเงินได้แล้ว 4 แสนบาท ก็นำเงิน 3แสนไปลงทุน
ทำธุรกิจของตัวเองโดยตั้งบริษัทของตัวเองชื่อ
บริษัทสำนักพิมพ์มณฑานี เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เราตลอดเหมือนกับ
ห่านที่ไข่เป็นทองคำให้ไม่สิ้นสุด"
ปัจจุบันสำนักพิมพ์มณฑานีจะจัดพิมพ์
หนังสือแนวเปลี่ยนแปลงชีวิตและให้กำลังใจคน
ได้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือของเธอเพียงเล่มเดียวชื่อ "ความรัก"
มีรายได้เข้ามาต่อเนื่องและมีกำไรแล้ว
6 หลักสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้วหลังจากจัดตั้งได้เพียง 1 ปีเท่านั้น
นอกจากนั้นยังวางแผนจัดพิมพ์ "พอคเก็ตบุ๊ค" เล่มใหม่อีก 5 เล่ม
ซึ่งเป็นแนวเปลี่ยนชีวิต ทัศนคติคน ได้แก่ ขั้นเอาชนะ,
อยากได้กับจำเป็น,ชีวิตคู่กับการเงิน, การเงินกับเด็ก
และ การเงินกับผู้หญิงไม่เพียงเท่านั้น
โจ..ยังแบ่งเงินส่วนที่ได้จากกำไรพิมพ์และจำหน่ายหนังสือ
ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 24 เดือน
ที่ออกโดย "ธนาคารอาคารสงเคราะห์"ได้รับผลตอบแทนปีละ 6% อีกด้วย
พลังห้า..บัญชีค่าใช้จ่ายรายเดือนจะเป็นบัญชีเงินฝาก
เพื่อหักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
และเพื่อทำสเตทเมนท์รายได้ของตัวเองด้วย
ซึ่งจะเปิดในชื่อบัญชีของบริษัทเพื่อลดค่าใช้จ่าย และภาษี
นอกจากนั้น หากมีเงินเหลือจากรายเดือนหรือลดค่าใช้จ่ายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็จะนำเก็บไว้สำหรับการ "ท่องเที่ยว" ซึ่งกำลังจะเปิดอีกบัญชีหนึ่งอีกด้วย
ถ้าแยกแยะเป็นสัดส่วนเงินออม และการลงทุนของมณฑานีนั้น
เธอจะเก็บออมในทุกบัญชีรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้
แต่ในอนาคตต้องการจะเพิ่มเป็น 50%
โดยส่วนที่เพิ่มอีก 20%จะนำไปลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างอนาคต
แต่เป้าหมายเกษียณอายุของโจ วางแผนว่าจะเกษียณเมื่ออายุ 55 ปี(ปัจจุบันอายุ 40 ปี)
และมีชีวิตอยู่ถึง 80 ปีด้วยแผนการเงินที่วางไว้อย่างดีดังกล่าว
อีก 15 ปีเธอจะมีเงินถึง 8ล้านบาทเมื่อเกษียณ
ในระยะเวลาอีก 25ปีเธอก็จะมีเงินไว้ใช้เมื่อแก่ชราและท่องเที่ยวแบบสบายๆ
ผลจากการวางแผนการเงินและเปลี่ยนนิสัยการเงินใหม่ด้วยการเก็บออม
ทำให้ปัจจุบันโจ เหลือหนี้ผ่อนบ้านอีกราว 3 ล้านบาท
วางแผนไว้ว่าภายใน 5ปีจะใช้หนี้ให้หมดจากผลตอบแทนเงินลงทุนที่ได้มา
และรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนี้บัตรเครดิตคงค้างอีกเพียง 2 หมื่นบาทเท่านั้น..!!
เป้าหมายของโจ..ไม่ได้อยู่เพียงแค่ต้องการเป็น "อิสระทางการเงิน"
เท่านั้นเธอยังมีจุดมุ่งหมายไกลกว่านั้นคือ
การเป็น "นักให้กำลังใจอาชีพ"ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตแก่คนทั่วไป
และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทั้งด้านการเงินความรัก และอื่นๆ

Feb 10, 2007

Pursuit of happyness (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)

“Don't ever let somebody tell you-you can't do something

...You got a dream, you gotta protect it

...If you want something, go get it.”


เมื่อเร็วๆ นี้ทีมงานได้ชมภาพยนตร์รอบพิเศษของหนังเรื่อง Pursuit of happyness หรือชื่อไทย ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ และติดใจกับประโยคข้างต้นที่แปลได้ใจความว่า “อย่ายอมให้ใครมาบอกลูกว่า ลูกไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ ลูกมีความฝัน และลูกต้องปกป้องมัน ถ้าลูกฝันอยากได้อะไร ต้องไขว่คว้ามันมาให้ได้”

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงของ คริส การ์ดเนอร์ ผู้ซึ่งกัดฟันสู้ชีวิตจนกลายสภาพจากยาจกมาเป็นมหาเศรษฐี ด้วยความวิริยอุตสาหะ และความรักที่มีต่อลูกวัยแบเบาะ เรื่องราวของเขาถูกนำเสนอโดยรายการทอล์กโชว์ยอดฮิตในสหรัฐฯ เมื่อผู้สร้างได้ชมรายการนี้ก็เกิดปิ๊งไอเดีย จึงนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เสียเลย เพื่อสะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลหนนี้จึงขอนำเรื่องของคนอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

...เขาว่ากันว่าจิตวิญญาณของคนอเมริกันคือการล่าฝัน

อเมริกันที่ว่านี้คือคนที่อพยพไปตั้งรกรากอยู่ในอเมริกาตั้งแต่สองสามร้อยปีที่ผ่านมา ผู้อพยพเหล่านี้มีหลากหลายเชื้อชาติ สีผิว และความเชื่อ บางคนมาด้วยความเต็มใจ บางคนก็ถูกบังคับให้มา แต่ในที่สุดแล้วทุกคนก็ได้ประจักษ์ว่า แผ่นดินผืนนี้ช่างกว้างใหญ่ รวมทั้งโอกาสให้ไขว่คว้า ที่สำคัญคือเป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี ไม่มีชนชั้น ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ทุกคนมีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้เท่ากัน ขึ้นอยู่กับโอกาสและความขยันขันแข็งของแต่ละบุคคล

หลายคนอาจ จะเถียงว่าไม่ จริง คนผิวดำ จากแอฟริกาที่ถูกหลอกบ้าง บังคับบ้าง ให้มาเป็นทาสอยู่จนกระทั่งประมาณ 150 ปีก่อน มิได้มีสิทธิ์อิสระเท่ากับคนผิวขาว (หรือผิวเหลือง) แต่ประการใด หรือชาวอเมริกันพื้นถิ่นที่ถูกเรียกว่าอินเดียน ซึ่งถึงไม่ได้เป็นทาส แต่ก็ถูกกดขี่ข่มเหงและกีดกันโอกาสสารพัด นั่นก็จริงอยู่ แต่ถ้าคิดว่าชาติทุกชาติย่อมเคยมีอดีตอันผิดพลาดกันทั้งนั้น หากเมื่อรู้ว่าผิดแล้วหาทางแก้ไขเพื่อให้เกิดความเสมอภาคและยุติธรรมมากขึ้น ย่อมดีกว่าปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นดำเนินต่อไป ปัจจุบันคนที่อยู่ในประเทศอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิพื้นฐานเท่ากันตามรัฐธรรมนูญ จะเกิดมาด้วยผิวสีใด พ่อแม่มาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไร ย่อมมีสิทธิ์ในการแสดงความเห็น การนับถือศาสนา และการถูกปฏิบัติต่ออย่างเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ พูดง่ายๆก็คือ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ หรือแม้แต่เส้นกวยจั๊บ และเกาเหลา ย่อมมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในชามก๋วยเตี๋ยวเท่าๆกันตามกฎหมาย ไม่มีใครพิเศษกว่าใครทั้งสิ้น

เมื่อกฎหมายเอื้อให้มีความเป็นคนเท่ากัน คราวนี้ก็แล้วแต่ว่าใคร จะล่าฝันได้สำเร็จ ฝันแบบอเมริกันชนที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า American Dream คือการประสบความสำเร็จในการทำงาน มีเงินทองจับจ่ายพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และมีอิสรเสรีในการกระทำและความคิดตามระบอบประชาธิปไตย แบบทุนนิยม พูดง่ายๆก็คือ มีชีวิตแบบที่ตนต้องการ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง (ซึ่งแน่นอนว่าความพอเพียงของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน)

มีคนบอกว่า คนที่จะเข้าใจความฝันแบบอเมริกันได้ ต้องไม่ใช่คนอเมริกัน ซึ่งคิดดูแล้วก็จริงอยู่เหมือนกัน คนอเมริกันปัจจุบันส่วนใหญ่คิดว่าความฝันแบบอเมริกันคือ ชีวิตนี้ ต้องรวย (หรือดัง) ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่อาดัมส์ต้องการให้มันเป็นเสียทีเดียวนัก

ไม่ใช่ว่าอเมริกันชนทุกคนจะประสบความสำเร็จในการล่าฝันเสมอไป ที่ล้มคว่ำคะมำหงายก็มีมาก แต่ก็อย่างที่บอกแล้วว่า ประเทศนี้เต็มไปด้วยโอกาส คนที่ล้มหากมีความพยายามและความตั้งใจจริงที่จะลุก ย่อมสามารถตามล่าหาฝันของตนเอง จนพบได้เสมอ อาจจะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเป็นไปไม่ได้ คริส การ์ดเนอร์ เป็นตัวอย่างของนักล่าฝันตามแบบอเมริกันคนหนึ่งที่เจอพิษเศรษฐกิจตกสะเก็ดเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เล่นงานเอาจนตกงาน ถูกไล่ออกมาจากห้องเช่า เมียก็หนีไปล่าฝันที่อื่น เพราะไม่อยากเสียเวลากัดก้อนเกลือกิน ในที่สุดเลยต้องกระเตงลูกชายวัยเตาะแตะออกมาเป็นคนจรจัดไร้บ้านในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย

คนจรจัดไร้บ้านไม่ใช่เรื่องแปลก (หรือแม้แต่เรื่องใหญ่) เมืองใหญ่ๆทุกเมืองในอเมริกาเต็มไปด้วยคนเหล่านี้ ประมาณว่าทั้งประเทศอเมริกามีคนจรจัดไร้บ้านหลายแสนคน (รายงานบางชิ้นบอกว่ามีเป็นล้านด้วยซ้ำ) ส่วนใหญ่เดินเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนในย่านที่ทรุดโทรม หรือไม่ก็นั่งกรึ่มอยู่ตรงมุมเมืองที่ไม่น่าเดิน ที่นอนคือที่ที่เราไม่คิดว่าจะนอนได้ เช่น ใต้สะพาน ข้างถนน ซอกตึก หรือตามสวนสาธารณะ หลายคนมีรถเข็นแบบที่ใช้ในซุปเปอร์มาร์เกตเอาไว้ใส่สมบัติประดามีของตัว เวลาหนาวๆก็จะออกมายืนผิงมือคุยกันอยู่ข้างถนน โดยก่อไฟในถังขยะหรือถังใหญ่ๆแถวนั้น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารที่โบสถ์หรือองค์กรที่ให้บ้านพักสำหรับคนจรจัดแจกให้ ผสมกับการรับจ้างทำงานเล็กๆน้อยๆ ขอทาน หรือไม่ก็รับเงินประกันสังคม ส่วนใหญ่มีปัญหาติดสุรา ติดยา หรือไม่ก็เป็นโรคประสาทระดับต่างๆ เช่น พูดคนเดียวงึมงำ หรือไม่ก็ด่าทอลมฟ้าอากาศ หรือคนที่เดินผ่านไปมาไปตามเรื่อง

ชีวิตจรจัดไร้บ้าน คือชีวิตที่ตกต่ำถึงขีดสุดของมนุษย์ น้อยคนที่จะหลุดพ้นออกมาจากสถานะนั้นได้ แต่คริส การ์ดเนอร์ มีแรงบันดาลใจที่สำคัญ คือคริสโตเฟอร์ บุตรชาย บ่อยครั้งที่เขาต้องกระเตงคริสโตเฟอร์ออกไปหางานตามที่ต่างๆ โดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 1 ดอลลาร์ (ตอนนั้นประมาณ 25 บาท) แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดและใจที่สู้ยิบตาตามแบบของนักล่าฝันอเมริกันชนแท้ๆ ทำให้เขาหาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเจอจนได้ ด้วยการเข้าทำงานในบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง ในฐานะนายหน้าขายหุ้น และใช้มันสมองจนกลายมาเป็นเซลส์แมน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และได้ออกรายการทีวี 20/20 ซึ่งเป็นรายการสารคดีที่มีคนดูมากที่สุดรายการหนึ่ง

ชีวิตของการ์ดเนอร์เป็นแบบฉบับที่ดีของคนอเมริกันสมัยใหม่ ที่ล่าฝันจนพบด้วยการทำงานหนักและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค

สำหรับผู้ที่มารับบทเป็นคริส การ์ดเนอร์ คือวิล สมิธ ดาราเจ้าบทบาทจากเรื่อง Men In Black และ Bad Boys พร้อมด้วยลูกชายในชีวิตจริง คือเจเด้น คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ มาสวมบทคริสโตเฟอร์

ใครที่อยากเข้าใจความฝันแบบอเมริกันว่าช่วยพัฒนาชาติแบบพอเพียงได้อย่างไร ต้องไปดู แล้วจะได้แรงบันดาลใจครั้งใหญ่ในการทำชีวิตทุกๆ วันของตัวเองให้มีความสุขและพบกับความสำเร็จ.

ทีมงาน ต่วย'ตูน